วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข่าวน้ำท่วม

 นิตยสาร “ไทม์” เผย กระแสน้ำเข้าใกล้หัวใจทางประวัติศาสตร์



        นิตยสาร “ไทม์” เผย กระแสน้ำเข้าใกล้หัวใจทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งพระบรมหาราชวัง และวัดเก่าแก่ริมฝั่งเจ้าพระยา ทั้งยังระบุว่ารัฐบาลและฝ่ายค้านรวมทั้งผู้สนับสนุน ยังทะเลาะเบาะแว้งกล่าวโทษซึ่งกันและกัน ขาดแผนบริหารจัดการน้ำที่เป็นเอกภาพ...
        นิตยสาร “ไทม์” รายงานเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานครอย่างใกล้ชิด โดยระบุว่ากระแสน้ำเริ่มไหลเข้าใกล้หัวใจทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดยเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 28 ต.ค. ระดับน้ำที่นอกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระบรมมหาราชวังเดิม ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สูงถึงหัวเข่าแล้ว นอกจากนี้ ยังมีวัดและวังเก่าแก่อีกมากมายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงมีพระราชกระแสผ่านผบ.ทบ.ว่า ไม่โปรดให้ป้องกันพระราชฐานเป็นพิเศษ ปล่อยให้น้ำไหลตามธรรมชาติ
        ด้านกองทัพไทยสัญญาว่าจะสนธิกำลังทหาร 50,000 นายเพื่อเบี่ยงเบนทางน้ำและช่วยประชาชนอพยพ ขณะท่ีภาครัฐกระตุ้นให้ประชาชนทิ้งกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัด ไทม์เผยด้วยว่า นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมทั้งผู้สนับสนุน ยังทะเลาะเบาะแว้งกล่าวโทษซึ่งกันและกัน ขณะท่ีทหาร พระสงฆ์ และอาสาสมัครหลายพันคนเร่งทำงานเพื่อพยายามยกระดับพนังกั้นน้ำ และแจกจ่ายอาหารและเครื่องบรรเทาทุกข์อื่นให้ผู้ประสบภัย




  



       รายงานของไทม์ระบุด้วยว่า รัฐบาลไทยสัญญาว่าจะสอบสวนสาเหตุของน้ำท่วมเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ทั้งยังให้ความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติ ว่ารัฐบาลจะกำหนดแผนงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องโรงงานและเขตอุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคต แต่หนังสือพิมพ์ของไทยบางฉบับเปิดเผยข้อมูลของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ว่า ถึงแม้รัฐบาลไทยจะทุ่มงบประมาณกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ( กว่า 150,000 ล้านบาท) ในช่วงปี 2548 ถึง 2552 เพื่อใช้ในโครงการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่ไร้ประสิทธิภาพ และประเทศไทยยังคงขาดแผนบริหารจัดการน้ำที่เป็นเอกภาพ.



อัพเดทน้ำท่วม 28 ตุลาคม 54



        น้ำทะลักล้นกำแพงสนามบินดอนเมืองเข้าอาคารวีไอพี เสียหายยาวกว่า 100 เมตร โชคดีรถยนต์ไม่ได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ระดมกำลังแก้ไข...
        เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 28 ต.ค. ที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริเวณรั้วของท่าอากาศยานดอนเมืองที่เป็นแนวกันน้ำจากถนนวิภาวดีรังสิต ได้เกิดการทรุดตัวลงมา เนื่องจากกำแพงเกิดการร้าวประมาณ 100 เมตร ขณะที่แนวกำแพงเหล็กที่กั้นน้ำอยู่ได้ทรุดตัวลงทำให้น้ำที่อยู่ภายนอกไหลล้นทะลักเข้ามา โดยที่น้ำไหลเข้าท่วมในบริเวณนั้นทำให้อาคารวีไอพีระหว่างประเทศของสนามบินดอนเมืองมีน้ำไหลเข้ามาจำนวนมาก และยังทำให้กำแพงเกิดความเสียหายหนักขึ้นมาอีกจากการที่มีรถจีเอ็มซีของทหารขับฝ่าน้ำเข้ามา ทำให้คลื่นที่เกิดจากการวิ่งซัดกระทบกำแพง ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานได้ระดมกำลังในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ยังไม่สำเร็จ
 
        รายข่าวแจ้งว่า จากการที่น้ำไหลมาบริเวณดังกล่าวได้สร้างความเสียเล็กน้อยในบริเวณนั้น เนื่องจากมีรถของประชาชนที่มาจอดอยู่เพียงไม่กี่คัน อีกทั้งบริเวณพื้นที่กำแพงแตกยังมีบริเวณที่กว้าง ทำให้ระดับน้ำที่ไหลเข้ามายังไม่ท่วมขังแต่อย่างใดในบริเวณของอาคาร.



        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 ต.ค. ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.02) แจ้งประชาสัมพันธ์ปิดการจราจรน้ำท่วมขังและมวลน้ำไหลเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีรายละเอียดดังนี้
พื้นที่ด้านทิศเหนือ
1 ถ.วิภาวดีรังสิต ขาเข้า ปิดการจราจรตั้งแต่แยกอนุสรณ์สถาน ถึงแยกหลักสี่ ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกหลักสี่เป็นต้นไป
2 ถ.พหลโยธิน ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกอนุสรณ์สถาน ถึงพหลโยธิน 50 (ห้างบิ๊กซี พหลโยธิน)
3 ถ.กำแพงเพชร 6 (ถ.โลคัลโรด) ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่หน้าหมู่บ้านเมืองเอก ถึงแยกการเคหะทุ่งสองห้อง
4 ถ.สรงประภา ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกศรีสมาน ถึงแยก กสบ.
5 ถ.เชิดวุฒากาศ ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตลอดสาย
6 ถ.เวฬุวนาราม (วัดไผ่เขียว) ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตลอดสาย
7 ถ.เลียบคลองสอง ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกพลาธิการกองทัพอากาศ ถึงแยกสะพานปูน
8 ถ.จันทรุเบกษา ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยก รร.นายเรืออากาศ(คปอ.) ถึงแยกจันทรุเบกษา
 
สำหรับพื้นที่ ด้านทิศตะวันตกของกรุงเทพมหานคร เริ่มที่
1. ถ.จรัญสนิทวงศ์ ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกบางพลัด ถึงสะพานพระราม 7
2. ถ.สิรินธร ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกบางพลัด ถึงทางต่างระดับสิรินธร
3. ถ.อรุณอัมรินทร์ ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกอรุณอัมรินทร์ ถึงแยก รพ.ศิริราช
4. ถ.บรมราชชนนี ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าถึงทางต่างระดับสิรินธร (สายใต้เก่า)
5. ถ.บรมราชชนนี (พุทธมณฑล) ขาเข้า-ขาออก ปิดการจรารตั้งแต่แยกพุทธมณฑล สาย 3 ถึงแยกพุทธมณฑล สาย 4
6. ถ.อุทยาน ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตั้งแต่แยกอุทยาน ถึงแยกพุทธมณฑลสาย 3
7 ถ.ศาลาธรรมสพน์ ขาเข้า-ขาออก ปิดการจราจรตลอดสาย



        "สุขุมพันธุ์ บริพัตร" เผยปริมาณน้ำจากภาคเหนือเริ่มไหลเข้าพื้นที่เขตบางเขน เน้นประชาชนเตรียมเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ส่วนแขวงทวีวัฒนา  กทม.จับมือกองทัพเรือเร่งกู้คลองมหาสวัสดิ์ คาดเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ พร้อมยินดีน้อมรับแนวคิดเจาะถนน 5 เส้นของ ศปภ. แต่ขอให้แจกแจงรายละเอียดให้ชัดเจน...
        เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาเฉพาะกิจและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม กรุงเทพมหานคร (กทม.) ณ ศาลาว่าการกรุงเทพฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ แถลงถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ กทม.ว่า ยังมีความน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อรวมกับระดับน้ำทะเลหนุนในช่วงเช้าวันนี้ ทาง กทม.ได้ทำการตรวจวัดที่บริเวณพื้นที่ปากคลองตลาด พบว่ามีระดับน้ำสูงถึง 2.45 เมตร ชัดเจนถึงแม้ว่ายังไม่ถึงระดับแนวเขื่อนตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาความสูง 2.5 เมตร แต่คาดว่าในวันพรุ่งนี้ (29 ต.ค.) ระดับน้ำทะเลหนุนสูง เมื่อผนวกกับระดับน้ำในแม่น้ำดังกล่าวจะสูงประมาณ 2.5 - 2.6 เมตร จึงขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ช่วยกันเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ประกอบกับในช่วงเช้าขณะลงพื้นที่ ก็เป็นห่วงชาวบ้านที่กำลังเล่นน้ำ หรือกำลังนำเบ็ดมาตกปลา เพราะความปลอดภัยต้องมาก่อน อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลอย่างเต็มที่
 
        ขณะเดียวกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ กล่าวต่อว่า ระดับความสูงของน้ำทุ่งนั้น อาทิ คลองสูง มีความสูงมากขึ้นกว่าเมื่อวานประมาณ 8 ซม. ส่วนคลองทวีวัฒนา วันนี้ความสูงของระดับน้ำนอกแนวป้องกันอยู่ที่ 2.52 เมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานถึง 14 ซม. คลองเปรมประชากร ปริมาณน้ำได้ไหลล้นตลิ่งบริเวณ สน.ดอนเมือง ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ปริมาณมวลน้ำจากภาคเหนือ เริ่มไหลเข้าเขตบางเขน ดังนั้นทาง กทม.จึงขอประกาศให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ หลังจากที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ และขอให้ประชาชนที่อยู่ในเขตดังกล่าวเฝ้าระวังติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
พนังกั้นน้ำริมคลองพระโขนงพัง น้ำทะลักเข้าสุขุมวิท48,50



        เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุพนังกั้นน้ำในบริเวณชุมชนสมาคมหิมะทองคำ ซึ่งอยู่ริมคลองพระโขนงพังเสียหายเป็นระยะทาง 10 เมตร เนื่องจากมีสภาพเก่ามาก ทำให้น้ำล้นทะลักเข้าซอยสุขุมวิท 48 จนล่าสุดน้ำเอ่อถึงซอยสุมขุมวิท 50 และท่วมชุมชนชุมชนเปรมฤทัย และเริ่มเจริญ กินพื้นที่ประมาณ 500 เมตร โดยระดับน้ำสูง 20-30 เซนติเมตร ขณะที่เจ้าหน้าที่จากสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เร่งเข้าไปซ่อมแซมจุดที่พังแล้ว ส่งผลให้น้ำเริ่มลดลงแล้วเช่นกัน
        นางวิภารัตน์ ไชยานุกิจ ผู้อำนวยการเขตคลองเตย กล่าวยืนยันถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าเกิดเหตุพนังกั้นน้ำริมคลองพระโขนงพัง เป็นแนวยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้ช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุน ทำให้น้ำได้ไหลทะลักเข้ามา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการซ่อมแซม โดยเจ้าหน้าที่สำนักการระบายน้ำ และทหารจาก ม.พัน 1 รอ. จำนวน 50 นาย ช่วยกันนำกระสอบทรายอุดรอยแตก และพบว่าล่าสุดในช่วงสาย ระดับน้ำได้ลดลง เนื่องจากน้ำในคลองพระโขนงได้ลดลง รวมทั้งน้ำที่ไหลท่วมพื้นผิวถนนได้ไหลลงท่อไปคลองบางจากแล้ว และยังไม่มีน้ำไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีก คาดว่าการซ่อมแซมจะเสร็จทันก่อนที่จะถึงช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนอีกครั้งในตอนเย็นวันนี้



        ด้านนางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ผู้อำนวยการเขตพระโขนง กล่าวว่า เขตพระโขนงก็ได้รับผลกระทบจากกรณีที่พนังกั้นน้ำริมคลองพระโขนง ซึ่งอยู่เขตของสำนักงานเขตคลองเตยชำรุด ส่งผลให้น้ำรั่วและซึมเข้ามา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เร่งไปอุดรอยรั่วและน้ำหยุดเข้ามาแล้ว แต่ยังมีน้ำขังอยู่บ้าง ขณะนี้กำลังเร่งสูบน้ำออก.
ภาพน้ำท่วมคลองหลวงล่าสุด





 
 

กรุงเทพเริ่มวิกฤต


 

        น้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เอ่อเข้าท่วมหลายพ้ืนที่ของกรุงเทพมหานคร โดยน้ำได้เข้าท่วมถึงฟุตปาทหน้าโรงพยาบาลเลิดสินแล้ว ขณะที่วัชรพลน้ำสูงเกือบหัวเข่า ส่วนถนนวิภาวดีรังสิต เช้าวันนี้น้ำยังคงแค่วัดหลักสี่...
        เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่น้ำทะเลหนุนสูง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเอ่อเข้าท่วมหลายพื้นที่ริมฝั่งเจ้าพระยา ตั้งแต่บริเวณแยกศิริราช ถึงท่าน้ำวังหลัง และถนนอรุณอัมรินทร์บางส่วน ระดับน้ำสูงประมาณ 15 เซนติเมตร ทหารเร่งก่อกระสอบทรายความสูง 2.80 เมตร ปิดทางเข้าออก รพ.ศิริราช ป้องกันน้ำไหลทะลักเข้าท่วม ขณะที่พื้นที่สนามหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถนนหน้าศาลฎีกา น้ำได้เอ่อขึ้นมาแล้วเช่นกัน ไม่แตกต่าง ที่ถนนเจริญกรุง น้ำได้ไหลเข้าย่านเยาวราชแล้วบางส่วน สถานีตำรวจจักรวรรดิ โรงพยาบาลเลิดสิน ห้างโรบินสันบางรัก น้ำได้ท่วมถนนบริเวณฟุตปาทแล้ว



        ส่วนพื้นที่เขตสายไหม น้ำท่วมเกือบเต็มพื้นที่ บางจุดถึงแค่หัวเข่า แต่บางจุดสูงถึง 1 เมตร ส่วนที่วัชรพล น้ำท่วมถนน และชุมชนรอบข้างบ้างแล้ว โดยระดับน้ำสูงถึงหัวเข่า แต่ยังไม่ท่วมถึงบ้านจัดสรร เนื่องจากหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ ได้ยกพื้นสูงกว่าถนนประมาณ 1 เมตร สำหรับถนนวิภาวดีรังสิต เช้าวันนี้น้ำยังคงแค่วัดหลักสี่ แต่น้ำท่วมสูง มีขยะลอยมาด้วยจำนวนมาก มีกล่ินเหม็น และเป็นสีดำ ส่วนระดับน้ำบนถนนวิภาวดีรังสิต บางส่วนสูงถึง 1.50 เมตร



สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.นครปฐม วิกฤต ระดับน้ำสูง 50 ซม. - 2 เมตร ทหารเร่งนำรถมาช่วยประชาชน อพยพออกนอกพื้นที่...
        สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม น้ำที่ไหลบ่าจาก อ.ไทรน้อย จ.อยุธยา จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี ที่ไหลผ่าน ต.คลองโยง เข้าสู่ ศาลายา พุทธมณฑล อย่างรวดเร็วเมื่อช่วง 23.30 น.ของวันที่ 26 ต.ค.54 ทำให้พื้นที่ดังกล่าว กลายเป็นเมืองบาดาลอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำสูง 50 ซ.ม.ถึง 1 เมตร ถนนสายคลองโยง-ศาลายา และถนนพุทธมณฑลสาย 5 ม.ราชมงคล-ศาลายา ซึ่งมีหน่วยราชการและมหาวิทยาลัยหลายแห่งบนถนนเส้นนี้ เช่นสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ รร.ช่างสิบหมู่ ม.เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ศาลายา เกือบทั้งสายจมน้ำ รถไม่สามารถวิ่งผ่านไปมาได้ ต้องปิดถนน อำเภอต้องประกาศให้ประชาชนในพื้นที่ อ.ศาลายา อพยพโดยด่วน
 
        นอกจากนี้ในตัวเมืองพุทธมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจร้านค้าจำนวนมากยังถูกน้ำท่วม มีหลายรายที่ขนของกันไม่ทัน ต้องปล่อยให้จมน้ำ ส่วนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดหมู่บ้านพฤกษา 34 ต.ศาลายา ปรากฎว่าน้ำได้เข้าท่วมทั่วพื้นที่กว่า 1 เมตร ต้องระดมทหารจากกรมยุทธศึกษาทหารเรือ นำรถ จี. เอ็ม.ซี.จำนวนกว่า 30 คัน และเรือท้องแบนเข้ารับผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านให้ออกมายังที่พักพิง ภายใน ม.มหามงกุฎราชวิทยาลัย ศาลายา ซึ่งมีหอพักสร้างใหม่เป็นที่รองรับ โดยใช้อาคารหอพักปัญญา มี 7 ชั้น สามารถรองรับผู้อพยพได้จำนวน 500 คน แต่ปรากฏว่ามีผู้อพยพเข้าอยู่ถึง 670 คน ต้องแบ่งห้องให้อยู่รวมกัน จนทาง ม.มหามง กุฎ ต้องติดป้ายว่าเต็ม เพราะเกรงว่าจะเป็นการแออัดเกินไป จนทหารต้องนำผู้อพยพที่ขนมา แยกย้ายกันไปไว้ยังที่พักพิงแห่งอื่น ซึ่งมีอีก 10 แห่ง



        นอกจากน้ำจะเข้าท่วม อ.พุทธมณฑล จมน้ำแล้วยังไหลซึมออกตามท่อระบายน้ำเข้าท่วมถนนสายหลักพระบรมราชชนนี ระหว่างพุทธมณฑล สาย 4-5 น้ำยังเข้าท่วมถนนกว่า 30 ซ.ม.ทำให้การจราจรที่มุ่งหน้าเข้านครปฐม ลงสู่ภาคใต้และเป็นถนนเส้นทางไปเหนือ รถยนต์เล็กไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ ตร.จราจร สภ.พุทธมณฑล ต้องทำงานกันอย่างหนักระบายรถให้ไปใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม ทำให้การจราจรติดขัด

        
นอกจากนี้น้ำที่ไหลบ่าเข้า อ.พุทธมณฑล ยังทำให้พื้นที่ติดต่อกับคลองโยง ตั้งแต่ อ.บางเลน อ.นครชัยศรี อ.สามพราน ถนนหลายสายต้องถูกตัดขาดไปด้วย เนื่องจากน้ำจากคลองโยง พุทธมณฑล ต้องระบายลงแม่น้ำท่าจีน ทำให้แม่น้ำท่าจีนน้ำล้นทะลัก เข้าท่วมถนน เช่นถนนสายห้วยพลู-บางพระ ถูกน้ำตัดขาด ต้องใช้เจ้าหน้าที่คอยโบกและเขียนป้ายเส้นทางห้ามเข้าหลายสาย น้ำยังเข้าทำลายสวนกล้วยไม้ในพื้นที่ อ.สามพราน ได้รับความเสียหาย ฟาร์มกล้วยไม้หลายแห่งจมน้ำ โดยหลังจากที่ศูนย์อำนวยการดดดตภัย จังหวัดนครปฐม ได้รับรายงาน จึงได้ประสานขอความร่วมมือ ไปยังภาคเอกชนและหน่วยกาชาดสากล นครปฐม จัดถุงยังชีพ ไปให้ความช่วยเหลือ โดยขอรับบริจาคและตั้งโรงครัวสำหรับผู้อพยพ



        พร้อมทั้งขอเชิญชวนประชาชนอาสาสมัคร จิตอาสาเป็นแรงช่วยเข้ามาดูแล และให้การช่วยเหลือผู้อพยพ เพื่อให้เป็นระบบ ทั้งนี้ทาง ร.พ.ศูนย์นครปฐม ได้จัดแพทย์อาสาออกให้ความช่วยเหลือตรวจรักษาผู้อพยพและแจกยาให้ฟรี ซึ่งมีผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มาขอรับการรักษามากมาย ซึ่งมีอยู่ 1 ราย นางแป้น ทรัพย์พญา อายุ 67 ปี ซึ่งเป็นอัมพฤกษ์ บ้านอยู่หมู่ 5 ต.ศาลายา นอนป่วยอยู่คนเดียวภายในบ้าน ซึ่งบ้านถูกน้ำท่วมชั้นล่างจนมิด ต้องหนีขึ้นไปอยู่ข้างบน มีชาวบ้านใกล้เคียงแจ้งให้ทหารเรือทราบ และได้นำเรือท้องแบนไปรับตัวอย่างทุลักทุเล มาไว้ที่ศูนย์พักพิง ม.มหามกุฎราชวิทยาลัย ด้วย


  
 
'บางพลัด'วิกฤติ น้ำสูงต่อเนื่อง บางจุดสูงกว่าเมตร

        ย่านบางพลัดยังวิกฤติ น้ำยังเพิ่มระดับต่อเนื่อง บางจุดสูงกว่า 1 เมตร ขณะที่ประชาชนบางส่วนยังห่วงข้าวของ ไม่ยอมอพยพออก แต่อาศัยอยู่บนชั้น 2 ของบ้านจำนวนมาก...
        เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เขตบางพลัด ว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำมีระดับสูงถึง 1.07 เมตร ในช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.00 น. น้ำลงสูงสุดเวลา 15.00 น. ระดับน้ำประมาณ 70 เซนติเมตร และระดับน้ำยังคงเพิ่มปริมาณอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำยังคงไหลแรง จากฝั่งซอยจรัญสนิทวงศ์ 74-80 ข้ามผิวถนนมายังบริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 79-87 โดยประชาชนในพื้นที่ได้อพยพออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ยังคงมีประชาชนบางส่วนอาศัยอยู่บนชั้นสองของบ้าน ส่วนร้านค้าบริเวณใกล้เคียงทยอยปิดไปบ้างแล้ว ยังคงเหลือห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ที่ยังคงเปิดบริการอยู่ ซึ่งบริเวณชั้น 1 ของห้าง ถูกใช้เป็นศูนย์ประสานงานความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ของกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ และยังคงมีประชาชนเข้ามาจับจ่ายซื้อของเป็นจำนวนมาก

 
        ทั้งนี้ สถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าว ยังคงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณน้ำขึ้นลงตามเวลา ในด้านการจราจร ปริมาณน้ำบนผิวถนนอยู่ในระดับ 0.80-1 เมตร ทำให้รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ ขณะนี้มีเพียงรถขนาดใหญ่ของทหาร และโรงพยาบาลยันฮี ออกช่วยเหลือประชาชนในการสัญจรและขนย้ายข้าวของ ซึ่งการปิดการจราจรเริ่มตั้งแต่บริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 71 จนถึงบริเวณเชิงสะพานพระราม 7
เปิดชื่อ19เขตกทม. “รอดน้ำท่วม“
        นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยในรายการ เจาะข่าวเด่น ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ถึงการระบายน้ำท่วมในกทม. โดยระบุว่า เขตที่จะรอดจากน้ำท่วม 19 เขตคือ บางขุนเทียน บางบอน ทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ จอมทอง ภาษีเจริญ วัฒนา ดินแดง สาทร ราชเทวี พญาไท ปทุมวัน ป้อมปราบฯ สวนหลวง ประเวศ ห้วยขวาง วังทองหลาง บางซื่อ บางกอกน้อย
        3 เขตเสี่ยง ได้แก่ สะพานสูง บางกะปิ บึงกุ่ม ที่อยู่ริมคลองแสนแสบ จากเปิดคลองสามวา ประชาชนที่อยู่ ตามแนวริมคลองจะได้รับผลกระทบมากกว่า
        11 เขตที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำขึ้น-ลงของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ ดุสิต พระนคร สัมพันธวงศ์ บางรัก บางคอแหลม ยานนาวา คลองเตย พระโขนง คลองสาน บางกอกใหญ่ บางนา
        5 เขตกทม. ที่ต้องรับน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ คลองสามวา มีนบุรี ลาดกระบัง หนองจอก บางแค และ 7 เขต ที่ต้องได้รับผลกระทบรุนแรงคือ ดอนเมือง บางพลัด สายไหม ทวีวัฒนา หลักสี่ บางเขน ตลิ่งชัน โดยกทม.พยายามจะยันพื้นที่ เขตห้วยขวาง วังทองหลางให้มากที่สุด
......................................................................................................
อัพเดทน้ำท่วม 31 ตุลาคม 54
        ผู้ว่าฯ กทม.ประกาศอพยพ "แขวงบางไผ่ เขตบางแค" เกรงน้ำจะเข้ามาถึงถนนเพชรเกษมภายในคืนนี้ หรือพรุ่งนี้(1 พ.ย.) จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ยันเปิดประตูคลองสามวาได้แค่ 80 ซม.เท่านั้น ถ้าจะเปิด 1 ม.นายกฯ ต้องลงลายลักษณ์อักษรมาถึง...
        เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ศูนย์ก่อสร้าง และบูรณะ 4 เขตบางแค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ในเขตบางแคมีน้ำท่วมสูงมาก กทม.จึงตัดสินใจประกาศให้แขวงบางไผ่ เขตบางแค เป็นพื้นที่อพยพอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจาก กทม.เกรงว่าน้ำจะเข้ามาถึงถนนเพชรเกษม เขตหนองแขม ภายในคืนนี้ หรือในวันที่ 1 พ.ย. จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

        ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่ฝั่งตะวันตกมีความไม่แน่นอนสูงมาก สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ซึ่งในเขตตลิ่งชันน้ำยังไม่นิ่ง หากน้ำไม่มาเพิ่มจะสามารถเข้าสู่ระบบการระบายน้ำของ กทม. คาดว่าน้ำจะลดอย่างเห็นได้ชัดใน 3-4 วัน และจะแห้งภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่ง กทม.ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการช่วยเร่งระบายน้ำออกแม่น้ำท่าจีน ส่วนกรณีความขัดแย้งการเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวานั้น ทาง กทม.มีภารกิจสำคัญในการป้องกันเขตนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญมีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ตามคำสั่งของ ศปภ. ดังนั้น กทม.จะไม่ยอมเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาเพิ่มขึ้นถึง 1 เมตร เพราะเป็นการเสี่ยงเกินไป โดยขณะนี้เปิดได้กว้างสุด 75-80 ซม. เท่านั้น

        "ก่อนหน้านี้นายกฯ ได้มีคำสั่งให้ กทม. ปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยมีคำสั่งเป็นหนังสือลายลักษณ์อักษร ดังนั้นหากต้องการให้เปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาเพิ่มเป็น 1 เมตร ก็ต้องมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรมาเช่นกัน ไม่ว่าความกดดันจะมีมากแค่ไหน ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมต้องทำตามคำบัญชาที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน จึงจะทำตาม" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าว.

        สถานการณ์น้ำล่าสุดบริเวณหมู่บ้านเสนานิเวศน์ ภายในซอยเสนานิคม เขตลาดพร้าว น้ำได้ผุดจากท่อระบายน้ำเอ่อท่วมถนนภายในหมู่บ้านแล้ว โดยจุดที่ต่ำนั้นระดับน้ำสูงถึงประมาณ 20 ซ.ม. โดยชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่า น้ำได้เริ่มเอ่อจากท่อระบายน้ำขึ้นมา ในช่วงเช้าที่ผ่านมา จากนั้นก็เพิ่มปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
        ขณะเดียวกัน ที่บริเวณถนนเกษตร-นวมินทร์ ช่วงบริเวณใต้สะพานกลับรถบางบัวนั้น น้ำจากคลองบางบัวได้เอ่อล้นเข้าท่วมบริเวณดังกล่าว สูงประมาณ 40-50 ซ.ม. ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำแผงเหล็กมาวางกั้นเพื่อไม่ให้รถผ่านเข้าไปกลับรถได้แล้ว เนื่องจากระดับน้ำสูงอย่างไรก็ตาม ชาวบ้านที่อยู่ภายในบริเวณนี้และใกล้เคียง ต่างพากันออกมาสังเกตการณ์ระดับน้ำ กันอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม ที่ออกมาตรวจตราระดับน้ำ และความเรียบร้อยของรถยนต์ที่ประชาชนนำมาจอดหนีน้ำบนสะพานข้ามคลองดังกล่าว
        ขณะที่ นายบพิตร แสงแก้ว ผอ.เขตลาดพร้าว กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เขตลาดพร้าว ว่า ขณะนี้ทางเขต ยังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงที่คาดว่าจะมีน้ำไหลทะลักเข้าท่วม โดยทางเขต ได้ซ่อมเสริมแนวคันกั้นน้ำเพื่อสมบูรณ์แข็งแรงยิ่งขึ้น พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ 3 เครื่อง เพื่อระบายน้ำออก หากสถานการณ์รุนแรง ก็คงต้องเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่โดยเร่งด่วน ทางเขตได้เตรียมการ โดยมีศูนย์พักพิงใน 6 โรงเรียน ได้แก่ ร.ร.วัดลาดพร้าว ร.ร.วัดลาดปลาเค้า ร.ร.เทพวิทยา ร.ร.คลองทรงกระเทียม ร.ร.เพชรถนอม และ ร.ร.ลอยสายอนุสรณ์ ซึ่งทางเขตได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา
        สำหรับสถานการณ์น้ำคลองลาดพร้าวล่าสุด (31 ต.ค.) เวลาประมาณ 20.00 น. น้ำยังคงเพิ่มระดับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเหลืออีกเพียง 3-4 ซม. น้ำจะเอ่อล้นตลิ่ง ซึ่งทางเ้จ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังกันเป็นพิเศษ
        พนังกั้นน้ำคลองพระโขนง บริเวณหมู่บ้านเปรมฤทัย ซ.สุขุมวิท 50 พังลงอีกครั้งมีความกว้างประมาณ 10 เมตร ส่งผลกระทบต่อ หมู่บ้าน และพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งซ่อมเพื่อไม่ให้ส่งผลในวงกว้าง ผอ.เขตคลองเตย ระบุ ยังบอกไม่ได้ว่าจะซ่อมแซมเสร็จเมื่อใด...
        วันที่ 31 ต.ค. นางวิภารัตน์ ไชยานุกิจ ผอ.เขตคลองเตย กล่าวกับทีมข่าวและได้อธิบายสาเหตุการพังในครั้งนี้ว่า จากสาเหตุพนังกั้นน้ำคลองพระโขนง บริเวณหมู่บ้านเปรมฤทัย ซ.สุขุมวิท 50 พังลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 มีความกว้างประมาณ 10 เมตร ขณะนี้ทางสำนักการระบายน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้มาดำเนินการในจุดเสียหายแล้ว ส่วนเรื่องของสาเหตุนั้นเกิดขึ้นมาจากแรงดันของมวลน้ำที่มีมาก เช่นเดี่ยวกับสองครั้งที่ผ่านมา การดำเนินการที่จะปิดนั้น ยังไม่สามารถทำได้ ณ เวลานี้ แต่สิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้ คือ การล้อมน้ำเพื่อลดแรงดันของน้ำให้ลดลง
        ส่วนผลกระทบที่มีต่อชาวบ้าน นั้น ผอ. เขตคลองเตย กล่าวว่า จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในหมู่บ้านเปรมฤทัยและหมู่บ้านเริ่มเจริญ มีน้ำเข้าในพื้นที่ ส่วนในเรื่องของการอพยพนั้นคงไม่ถึงกับต้องอพยพ เพราะน้ำไม่ได้ท่วมมากถึงกับต้องอพยพ แต่จะส่งผลกระทบกับบ้านที่ตั้งอยู่ต่ำกว่าพื้นถนน ก็จะได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะ ตอนนี้ ผอ.เขต ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านทุกวันก็จะไม่มีปัญหาในจุดนี้ "ทาง ผอ.เองก็ไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนพยายามเต็มที่ ทั้งเจ้าหน้าที่จากสำนักระบายน้ำ เจ้าหน้าที่เขต อปพร. ตำรวจ และทหาร ได้เข้ามาช่วยกัน
        แต่ด้วยความที่พนังค่อนข้างเก่า และแรงดันน้ำที่แรงมาก จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ทางด้านการป้องกัน ณ ตอนนี้ สำนักการระบายน้ำร่วมกับเขตคลองเตย กำลังพิจารณาหาหนทางแก้ไขให้ดีที่สุด เพราะในเรื่องของการป้องกัน ตลอดจน ระบบระบายน้ำทางด้านของหลักวิชาการและแนวทางการปฏิบัตินั้น ทาง สำนักการระบายน้ำ ทาง นายอดิศักดิ์ ขันตี รองผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ ได้เข้ามาดูในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ส่วนเขตนั้นมีหน้าที่ให้การสนับสนุนเต็มกำลัง ซึ่งทุกคนก็ทำงานกันอย่างเต็มที่" นางวิภารัตน์ กล่าว.
กทม.เผยแผนที่น้ำท่วมและแผนที่เขตเฝ้าระวัง
        เว็บไซต์เฟซบุ๊กของกทม. The Bangkok Governor ได้เผยแพร่ภาพแผนที่แสดงจุดที่มวลน้ำมาถึง และแสดงพื้นที่อพยพ พื้นที่เฝ้าระวัง และพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ โดยแบ่งเป็นสี 4 สี ดังนี้
 สีชมพู ที่ปรากฏขนาดใหญ่และเป็นจุดตามบริเวณต่างๆ แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ที่น้ำหลากเข้ามา
 
 สีแดง เป็นพื้นที่ที่กทม.ประกาศเป็น พื้นที่อพยพ ได้แก่ เขตทวีวัฒนา ตลิ่งชัน บางพลัด หลักสี่       ดอนเมือง สายไหม
 
 สีส้ม เป็นพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ ได้แก่ บางซื่อ จตุจักร ลาดพร้าว บางเขน วังทองหลาง
 ขณะที่ สีเหลือง เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ได้แก่ คลองสามวา คันนายาว หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง
(ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตค.54)
 

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

คุณธรรมจริยธรรม


ภาพประกอบ
การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรมให้แก่นักศึกษา
สถานการณ์บ้านเมืองของ ประเทศไทยเราในปัจจุบันนี้  ดูน่าเป็นห่วง   อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ   ปัญหาความเสื่อมถอยในด้าน คุณธรรม  จริยธรรมของคน ทั้งในระดับนักการเมือง  ข้าราชการ  หรือ คนในแวดวงอาชีพอื่นๆ  ภาพที่เห็นชัดเจนและเป็นข่าวอยู่ทุกวัน ก็คือ  การทุจริตคอรัปชั่น  การก่ออาชญากรรม   การเสพและการค้ายาเสพติด  ซึ่ง แพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนไทย  ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จนถึง อุดมศึกษา  รวมถึงการแต่งกายล่อแหลม ที่เป็นมูลเหตุก่อให้เกิดอาชญากรรม ทางเพศ ของนักศึกษาหญิง   การขายบริการทางเพศของนักศึกษา   การที่นักศึกษาอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา  การทะเลาะวิวาทของนักศึกษาทั้งภายในสถาบันเดียวกันและต่างสถาบัน  เหล่านี้เป็นต้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่มของเยาวชนดังกล่าว  ทุกคนต่างลงความเห็นตรงกันว่า  เยาวชนไทยของเราขาดการปลูกฝังในด้าน คุณธรรม  จริยธรรม อย่างยั่งยืน  คือ อาจจะมีอยู่บ้างแต่เป็นแบบฉาบฉวย  ไม่เกิดผลที่ถาวรในขณะที่สังคมไทยต้องการเห็นภาพการพัฒนาเยาวชนไทยไปสู่การ เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีความสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ  มีสติ  ปัญญา  มีความรู้และคุณธรรม  มีจริยธรรมและวัฒนธรรม  ในการดำรงชีวิต  สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข    มีรายงานผลการสำรวจของผู้ที่ถูกให้ออกจากงาน เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวพนักงานเอง  พบว่า  17 % ถูกให้ออกงานเพราะ ขาดทักษะความรู้และประสบการณ์     83 %  ถูกออกจากงานเพราะปัญหาเรื่อง ความประพฤติ และบุคลิกภาพ   ในขณะเดียวกันมีผู้ไปสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน ในหน่วยงาน  องค์กร  สถาบันต่างๆ พบว่า   ผู้ประกอบการส่วนมากต้องการบัณทิต ที่มีคุณลักษณะดังนี้      ขยัน       ประหยัด       ซื่อสัตย์       อดทน       เสียสละ   และ มีความรับผิดชอบ    ซึ่งปรากฏการณ์ในสังคม    ดังกล่าวมานี้เป็นผลโดยตรง  มาจากเรื่องของการปลูกฝัง ทางด้านคุณธรรม  จริยธรรม นั่นเอง

จะปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรมให้แก่นักศึกษาได้อย่างไร
จริยธรรม  เป็น  หลักความประพฤติ  หรือ แนวทางในการปฏิบัติตน  ที่ ควรแก่การยึดถือ ปฏิบัติ  เพื่อสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข  โดยมีคุณธรรม และ ศีลธรรมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ     การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรม  จึงเปรียบเสมือนการพัฒนาคุณภาพจิตใจ ที่มีอิทธิพลต่อความประพฤติของคน     คุณธรรม  เป็นสภาวะที่อยากให้เราทำอะไรที่เป็นคุณ    ศีลธรรม  เป็นสภาวะที่เราห้ามจิตใจของเราไม่ให้ทำในสิ่งผิด หรือบอกไม่ให้คนอื่นทำ   ทั้งคุณธรรม และ ศีลธรรม จึงเป็นตัวกำหนดความประพฤติของเรา   ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ควร   คือ  เป็นตัวกำหนดจริยธรรม      จริยธรรมที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลมาจากศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับ   วัฒนธรรม   ประเพณี  และกฎหมาย
ศาสตราจารย์  นพ.เชวง  เตชะโกศยะ ให้ แนวคิดในเรื่องการปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม ให้กับเยาวชน เอาไว้ว่า  คนเราถ้าไม่มีความรู้สึกผูกพันต่อ พ่อ แม่  ต่องานต่อแผ่นดิน  และสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเขา  จะสอนเท่าไดก็คงไม่มีประโยชน์  เพราะเขาจะเกิดความสำนึกในหน้าที่  ในคุณค่าของชีวิต  คุณค่าของความเป็นมนุษย์  ย่อมเป็นไปไม่ได้  เพราะแม้ชีวิตของเขาเอง  เขาก็ไม่รับผิดชอบเสียแล้ว เขาจะไปรับผิดชอบในหน้าที่ของเขาที่ต้องทำความดีและให้ความดีแก่สังคมที่ได้ รับประโยชน์ได้อย่างไร  ดังนั้น คุณธรรม  จริยธรรม  จึงเป็นตัวผล ที่จะต้องสร้างด้วยเหตุ  คือ  ให้ความรู้  ความเข้าใจแก่เขาเป็นอย่างดีนั่นเอง  และมีผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย   การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรม  จำเป็นต้องมีครู 3 สถานะ  เป็นต้นเหตุ  คือ  ครูที่บ้าน  ครูที่โรงเรียน / สถานศึกษา  และครู  ที่เป็นคำสอนในศาสนา    เพราะบุคคล 3  จำพวกนี้  ซึ่งหมายถึง    1. บุพการี      2. ครู   3. พระสงฆ์   เท่านั้น ที่อยากเห็นบุคคลอื่นได้ดี     ถ้าขาดเหตุ หรือ เหตุ ไม่ครบถ้วน   ผลคือ  คุณธรรม และ จริยธรรม  ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้  หรือไม่สมบูรณ์นั่นเอง   เรามักจะเอาผลกลับมาเป็นเหตุ  คือ  เอา จริยธรรม  หรือศีลธรรม  ไปสอนเขาโดยตรง   จริยธรรม  ศีลธรรม และ คุณธรรมอื่นๆ  ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้  หรือ มีขึ้นได้น้อยเต็มที

0
ฯพณฯ พลเอกวิจิตร  กุลวณิชย์  องคมนตรี ได้ แสดงแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเยาวชนในสังคมปัจจุบันเอาไว้ตอนหนึ่งว่า  เป็นเพราะคนไทยไม่รักแผ่นดินเกิด  ท่านขอร้องให้ ครู - อาจารย์  ไปสอนลูกศิษย์ว่า   ตื่นนอนตอนเช้าทุกวัน ให้มองหน้าตนเองในกระจก แล้วตั้งคำถาม   ถามตนเอง  3 ข้อ ( ให้ตอบด้วยความจริงใจ )
1.  ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เราเคยทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ต่อ  แผ่นดินเกิดบ้าง
2.  ถ้ายังไม่เคยทำ   ให้ถามตนเองต่อว่า  แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่   เช่น เมื่อถึงวันเกิด  วันสำคัญต่างๆ  เป็นต้น
3. ถ้าไม่เคยทำและยังไม่คิดจะทำ   ดังข้อ 1  และ ข้อ 2   ให้ถามตน   เองอีกว่า   ช่วงชีวิตที่ผ่านมา  เคยทำอะไรที่เป็นผลเสียหาย ต่อ
แผ่นดินเกิดบ้าง และจะเลิกเมื่อใด

คุณธรรม  จริยธรรม ที่ควรปลูกฝังแก่นักศึกษา
คุณธรรมอันดับแรกที่ ควรปลูกฝัง  คือ   ความกตัญญู  ซึ่งควรจะได้แสดงออกทั้ง ทางกาย   ทางวาจา  และ ทางใจ  เป็นวัฒนธรรมทางจิตใจ    ที่แสดงออกมาด้วยความดีงาม  แต่สิ่งเหล่านี้ กำลังถูกทำลาย ด้วย ความ    รีบเร่ง  จากกระแสวัตถุนิยม และบริโภคนิยม  ที่ไม่ได้คำนึงถึงวัฒนธรรมทางจิตใจ  หากคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจไม่มั่นคง  สิ่งที่แสดงออกมาจากพฤติกรรมของคน ก็ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งสิ้น    การแสดงออกทางกาย   วาจา  ใจ  ที่มีคุณธรรมเป็นที่ตั้งจึงมีส่วนสำคัญในการกล่อมเกลา จิตใจ    ให้มีความอ่อนโยน   สุภาพ นอบน้อม   สุขุม  รอบคอบ   เช่น   การกราบไหว้พระแบบเบญจางคประดิษฐ์  ซึ่งเป็นการกราบที่แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อบุคคลที่ควรเคารพนับถือสูง สุด การวางมือ  การยกมือขึ้น เพื่อให้สติอยู่กับมือ   พนมมือที่น่าอกในท่าอัญชลี   เป็นการสำรวมใจออกจากปัญหา ที่ว้าวุ่น    การยกมือจรดบริเวณหว่างคิ้วในท่าวันทา   เป็นการสำรวมกาย  สำรวมวาจา  สำรวมใจ  กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ  มีความแน่วแน่มั่นคงใน จิตใจ     การก้มกราบ ท่าอภิวาท  เป็นการปล่อยใจให้ว่างลง   สยบยอมทั้งกายและใจให้กับความดี  เป็นการลดอัตตา   ความยึดมั่น  ถือมั่นในตัวเอง  ซึ่งท่าทีเหล่านี้  จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาสภาพจิตใจให้ดีงาม การปลูกฝังให้นักศึกษารู้จัก พึ่งตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นคนดี มีวินัย  คือ  การปลูกฝังให้นักศึกษาได้มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง และ  รู้จักคุณค่าของตัวเอง   ไม่มีชนชาติใดในโลกที่มีความเจริญ  งอกงาม  มั่นคงอยู่ได้ เพราะการรอรับการช่วยเหลือ ของผู้อื่น โดยไม่พึ่งตนเอง
ค่าของคน  อยู่ที่ผลของงาน  บนพื้นฐาน อุดมการณ์ชีวิต งาน
คือ ชีวิต   ชีวิต คืองาน บันดาลสุข  ทำงานให้สนุก  เป็นสุข      เมื่อ ทำงาน
ของดีต้องมีแบบ     แบบที่ดี ต้องมีระเบียบ    ระเบียบที่ดี ต้องมีวินัย     คนที่มีวินัย  คือ ...
-          เคารพตนเอง           -          เคารพผู้อื่น
-          เคารพเวลา             -          เคารพกติกา
-          เคารพสถานที่

บุญ  คือ  การละกิเลส
คน  +  ความดี  (คน มี ความดี)    =   สุข , เจริญ
คน  +  บุญ  (คน  มี  บุญ )  =  สุข ,  เจริญ
คน มี ความดี  =  คน มี บุญ   ( สุข , เจริญ )
ความดี   =   บุญ

คุณธรรม  4 ประการ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
1. การรักษาความสัตย์   ความจริงใจต่อตนเอง  ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
2. การรู้จักข่มใจตนเอง   ฝึกใจตนเอง  ให้ประพฤติปฏิบัติ  อยู่ใน    ความสัตย์  ความดี
3. การอดทน   อดกลั้น   อดออม  ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัตย์    สุจริต   ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด
4. การรู้จักละวางความชั่ว   ความทุจริต  และ รู้จักเสียสละประโยชน์   ส่วนน้อยของตน  เพื่อประโยชน์ ส่วนใหญ่ของ บ้านเมือง

คุณธรรม 7 ประการ  ของ พระพรหมคุณาภรณ์  (ประยุทธ์  ปยุตฺโต)  ที่จะทำให้บุคคลมีความเจริญในชีวิต
1.  รู้จักเลือกหาแหล่งความรู้และแบบอย่างที่ดี
2.  มีชีวิตและอยู่ร่วมสังคมเป็นระเบียบด้วยวินัย
3.  พร้อมด้วยแรงจูงใจ   ใฝ่รู้   ใฝ่สร้างสรรค์
4.  มุ่งมั่นพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ
5.  ปรับทัศนคติและค่านิยมให้สมแนวเหตุผล
6.  มีสติกระตือรือร้นตื่นตัวทุกเวลา
7.  แก้ปัญหาและพึ่งพาตนเองได้ ด้วยความรู้คิด

ปณิธาน  10 ข้อ ของ พระพิพิธธรรมสุนทร ที่นำไปสู่ความสำเร็จ
1.  ยึดมั่นกตัญญู                         2.  ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
3.  มีความเพียรสม่ำเสมอ               4.  อย่าเผลอใจใฝ่ต่ำ
5.  เชื่อฟังคำผู้หลักผู้ใหญ่              6.  รักไทยดำรงไทย
7.  ใส่ใจในโลกกว้าง                    8.  ยึดแบบอย่างที่ดี
9.  รู้รักสามัคคีตลอดเวลา              10.  ใช้ศาสนาเป็นเครื่องดำรงชีวิต
คุณธรรม เพื่อความสวัสดีของชีวิต  ของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี)
สิ่งที่เธอควรมี "สติปัญญา "                     สิ่งที่เธอควรแสวงหา "กัลยาณมิตร"
สิ่งที่เธอควรคิด "ความดีงาม"                   สิ่งที่เธอควรพยายาม "การศึกษา"
สิ่งที่เธอควรเข้าหา "นักปราชญ์"               สิ่งที่เธอควรฉลาด "การเข้าสังคม"
สิ่งที่เธอควรนิยม "ความซื่อสัตย์"               สิ่งที่เธอควรตัด "อกุศลมูล"
สิ่งที่เธอควรเพิ่มพูน "บุญกุศล"                  สิ่งที่เธอควรอดทน "การดูหมิ่น"
สิ่งที่เธอควรยิน "พุทธธรรม"                     สิ่งที่เธอควรจดจำ "ผู้มีคุณ"
สิ่งที่เธอควรเทิดทูน "สถาบันกษัตริย์"         สิ่งที่เธอควรขจัด "ความเห็นแก่ตัว"
สิ่งที่เธอควรเลิกเมามัว "การพนัน"              สิ่งที่เธอควรสร้างสรรค์ "สัมมาชีพ"
สิ่งที่เธอควรเร่งรีบ "การแทนคุณบุพการี"      สิ่งที่เธอควรปฏิบัติทันที
"ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"
การปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม ให้แก่เยาวชน  จำเป็นต้องเริ่มแต่เด็ก เพราะอายุก่อน  6 ปี  จะสามารกบันทึกจริยธรรมในช่วงนั้น ได้มากที่สุด   พ่อ  แม่  ญาติพี่น้อง  ผู้ใกล้ชิดของเด็กในวัยนี้ จึงมีบทบาทสำคัญมาก ในการปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม และควรทำอย่างต่อเนื่องผ่านทางกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกหลักสูตร จนกระทั่งเด็กเหล่านี้เข้าสู่ การเรียนในระบบ  ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา  จนถึง ระดับอุดมศึกษา  เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  การปลูกฝังทางด้านคุณธรรม  จริยธรรม  ยังคงต้อง ดำเนินต่อไป  อย่างเป็นธรรมชาติ  เพื่อให้นักศึกษาเป็นทั้ง  คนเก่ง  คนดี และมีความสุข

การวางแผนการปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม  ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
1.การสอนโดยตรงในรายวิชา
2.การปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม โดยบูรณาการไว้ในการเรียน      การสอน
3.การสนับสนุนส่งเสริมงานด้านกิจการนักศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม
4.ผู้สอนต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษา
5.การให้รางวัลและการยกย่อง  ชมเชย  นักศึกษาที่ทำความดี          กระทำตนเป็นประโยชน์แก่สังคม
แนวทางในการประเมินด้าน คุณธรรม  จริยธรรม  ของนักศึกษา
1. ผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันกำหนด คุณธรรม  จริยธรรม  ที่พึงประสงค์ และควรได้รับการปลูกฝัง  หรือแก้ไขโดยเร่งด่วน  โดยอาจ กำหนดเป็นบทบัญญัติ  เช่น  ความซื่อสัตย์    การตรงต่อเวลา    การเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน  เป็นต้น
2.วางแผนร่วมกับผู้เรียนในการกำหนดเกณฑ์การประเมิน ด้านคุณธรรม  จริยธรรม  ว่าจะพิจารณาจากสิ่งใดบ้างในการประเมิน  (ตัวบ่งชี้)  และ  ให้น้ำหนักความสำคัญอย่างเป็นรูปธรรม
3.กำหนด / เลือก  เครื่องมือและวิธีการ  เพื่อใช้ในการประเมิน คุณธรรม  จริยธรรม  ของผู้เรียน  เช่น
-   การสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
-   แบบบันทึกผลการสังเกต
-   การประเมินตนเองของผู้เรียน
-   การประเมินโดยเพื่อน
-   การประเมินโดยอาจารย์ผู้สอน
-   แฟ้มสะสมงาน
ฯลฯ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างของการปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม           ให้แก่ นักศึกษา  แต่สิ่งที่ต้องคำนึงอีกประการหนึ่ง  คือ  ความถี่ในการ  ปฏิบัติ   ตามหลักจิตวิทยาของมนุษย์ ต้องมีการเรียนรู้โดยการตอกย้ำหลายครั้ง  อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักศึกษามีมากมาย     การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรม  ให้แก่นักศึกษาจึงจำเป็นต้องดำเนินการ   ควบคู่กันไปกับการพัฒนาในส่วนอื่นๆ   ครู - อาจารย์  จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมาก   นอกเหนือจาก บิดา  มารดา  ญาติพี่น้องและสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ในสังคม ซึ่งในเรื่องนี้ พระพรหมคุณาภรณ์  (ประยุทธ์  ปยุตฺโต)  ได้กล่าว     ถึง บทบาทของ ครู - อาจารย์  ในยุคของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในปัจจุบัน เอาไว้ว่า   ครู - อาจารย์ จะต้องทำหน้าที่เป็นหลักสำคัญ ให้กับ   นักศึกษา  2 อย่าง  คือ
1.  ชี้นำชีวิตที่ดีงามแก่นักศึกษา
2.  ปลุกความเป็นนักศึกษาให้ตื่นขึ้น  ให้เป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
ดังนั้น ครู - อาจารย์ ในสถาบันอุดมศึกษา คงไม่อาจปฏิเสธภาระหน้าที่   สำคัญในด้าน การปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม  ให้แก่นักศึกษา นอกเหนือ จากงานด้านการเรียนการสอนเชิงวิชาการ



อ้างอิงจาก  มหาวิทยาลัยศรีประทุม http://blog.spu.ac.th

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

คาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คืออะไร ซักจะน่าสนใจแล้ว ใช่ไหมค่ะ
สืบ เนื่องจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดประมาณการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา เรือนกระจก หรือกรีนเฮ้าส์เอฟเฟคท์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ
พิธี สารเกียวโตมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่16 กุมภาพันธ์ 2549 หากประเทศที่ลงนาม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.2% ในปี 2551-2555 จะมีค่าปรับถึงตันละ 2,000-5,000 บาท
สถิติจากWorld Resources 2005 ระบุว่า
สหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
 อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
 อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน

ดังนั้น"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต" จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กำหนดออกมาพิเศษ เพื่อช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ

" คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันดิบในโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานยนต์ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อลด ได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ  เช่น
การปลูกป่าไม้ 2.5 ไร่ จะสามารถเก็บคาร์บอนเครดิตได้ 2 ตัน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนน้ำมัน 1 หน่วยจะได้เครดิตประมาณ 0.6 กิโลกรัม

ตัวอย่าง เช่นประเทศ A อยู่ในยุโรป ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 50 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศ A พยายามลดสุดๆแล้ว ลดได้เพียง 30 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 20 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 3,000 บาทก็ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ประเทศ  ก จึงติดต่อไปที่ ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ข เพื่อช่วยสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เมื่อสร้างเสร็จทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าฟาร์มหมูลดลงเดือนละ 2 ล้านบาท ถือเป็นการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สมมติว่าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 1 ล้านตัน จำนวนที่ลดได้ จะถูกเรียกว่า "คาร์บอนเครดิต" ซึ่งประเทศ A จะได้คาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันไปรวมกับ 30 ล้านตันที่มีอยู่ หรือในอนาคตฟาร์มหมูที่อยู่ใกล้เคียงอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน มาลงทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเอง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ A ก็ได้
ทั้ง นี้หน่วยงานหรือบริษัทที่จะซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องผ่านมาตรฐานตาม "โครงการซีดีเอ็ม" หรือโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism หรือ CDM Project-Carbon Credit)
"คาร์บอนเครดิต" กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษ ที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา "จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน   2551 ที่ผ่านมา หรือที่เรียกย่อว่า อบก.หรือ "TGO" (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
การ เริ่มพัฒนาโครงการและตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลดำเนินงานและให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานด้านก๊าซ เรือนกระจก
แม้ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีข้อดีคือทำให้ประเทศพัฒนาไม่ต้องเจอค่าปรับจาก พิธีสารเกียวโต ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็ได้รับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
แต่ มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าหากประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ลาว เวียดนาม นำคาร์บอนเครดิตมาขายจนหมดสิ้น จะกลายเป็นภาระผูกพันถึงอนาคต หากมีข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้ประเทศด้อยพัฒนาต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกด้วย ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
ศ. ดร.สุรพงศ์  จิระรัตนานนท์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวแนะนำว่า ไทยควรมีการเก็บคาร์บอนเครดิตไว้บ้าง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า อาจต้องถูกบังคับให้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าให้ประเทศอื่นหมดแล้ว ราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดให้จ่ายค่าปรับหลายเท่า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์ในอนาคตเผื่อไว้ด้วย นอกจากนี้ควรมีการลดการใช้พลังงานด้านอื่นพร้อมกัน เนื่องจากภาคธุรกิจไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลืองอย่างมาก
ศ. ดร.สุรพงศ์ยกตัวอย่างตึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกว่า มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เพราะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดทั้งวัน หน่วยงานรัฐควรใช้นโยบายเหมือนเกาหลีใต้ ที่ออกกฎข้อบังคับให้สถานที่ราชการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 26 องศา ส่วนที่มาเลเซียก็พยายามสร้างอาคารแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานจากเดิม 3-5 เท่า โดยการประหยัดพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้อาจนำมาเป็นคาร์บอนเครดิตขายในอนาคตได้
อยากขาย"คาร์บอนเครดิต" ต้องทำอย่างไร
ต้อง เป็นโครงการเกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง แปลงขยะเป็นพลังงาน พัฒนาประสิทธิภาพการคมนาคม ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เรียกกันว่า โครงการซีดีเอ็ม หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism : CDM)
เจ้า ของโครงการประเภทกลไกการพัฒนาที่สะอาดหรือโครงการซีดีเอ็มนั้นก่อนจะตกลง ซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมีการขอใบรับรอง CERs (Certified Emission Reductions) จากสหประชาชาติก่อนทั้งนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์ CERs อาจมีทั้งโรงงานไฟฟ้าเอกชน ฟาร์มหมู โครงการปลูกป่า ซึ่งเป็นตัวเจ้าของโครงการไม่ใช่รัฐบาล นอกจากรัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการเอง
ขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองCERs คือ
1.ยื่นโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
3.ส่งเอกสารให้สหประชาชาติรับรองเพื่อออก CERs
ขณะนี้"บริษัทบริการสิ่งแวดล้อม" (Environmetal Service) กำลังเป็นธุรกิจใหม่ที่ต่างชาติทยอยเปิดในเมืองไทย เพื่อช่วยบริษัทหรือเจ้าของโรงงานที่ต้องการเป็นโครงการซีดีเอ็ม เช่น แนะนำขั้นตอนทำเอกสารขอ "CERs" หรือช่วยเป็นที่ปรึกษาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเช่น ให้คำปรึกษาการออกแบบโครงการ ธุรกิจตรวจประเมินและรับรองโครงการ ธุรกิจตัวกลางซื้อขายกับต่างประเทศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย จัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา

จิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000 และ 14000 อีกหลายธุรกิจบริการในไทย มาสู่การ ตรวจประเมินและรับรองโครงการ (Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน บอกว่า บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 บริษัท
และ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มติอนุมัติการขึ้นทะเบียน 3 โครงการแรกของไทย เพื่อให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตตามข้อตกลงได้ คือ
1.โรงไฟฟ้าด่านช้างไบโอเอนเนอร์ยี่
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ของบริษัท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด
3.โครงการไบโอแมสของโรงไฟฟ้าขอนแก่น
สำหรับ โรงไฟฟ้าขอนแก่นที่นำชานอ้อยมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น มีการประเมินว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี หากนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายจะได้ประมาณ 21 ล้านบาท

โครงการ ตั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล 3 mw. ร่วมกับ ต้นตะกู พันธุ์ก้านแดง 4,000 ไร่ ลดภาวะโลกร้อน
ขายคาร์บอนเครดิต 10 ยูโร/ตัน
" โรงงานเก่าสามารถทำได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่ ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาได้เลยว่า เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ จากรีเทิร์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะมาลดปฏิกิริยา เรือนกระจก"

ล่า สุดมีอีก 45 บริษัทที่เสนอขอเข้าโครงการซีดีเอ็ม เพราะราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว โครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 50 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เช่น การผลิตก๊าซจากน้ำเสีย อันดับ 2 คือด้านเทคโนโลยีชีวมวล (ไบโอแมส) ร้อยละ 25 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โครงการแปลงขยะชุมชนเป็นพลังงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon & Clarke บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Services) ในไทย เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้ กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

"เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอน เครดิต จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง โดยเราจะมีซอฟต์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

โดยเขาระบุว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้ แต่อย่างน้อยก็ สร้างแรงจูงใจให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเขามั่นใจว่าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนก็เกิดความกระตือรืนร้นที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นมา" เขาตั้งประเด็นอย่างน่าสนใจ

"พิธีสารเกียวโต ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย เพราะ ราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี 2551-2555 จะสูงขึ้น จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

ในทัศนะของเขายังเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่าง ไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเฉพาะของคนใดคนหนึ่ง  เพราะขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่มองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วมากมาย   การเยียวยาดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้เพิ่มขึ้น  เพื่อฉลอผลกระทบออกไป  และรักษาโลกเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานเราในอนาคต
การช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นภาระกิจที่ทุกคนควรช่วยกันทำ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก

คาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คืออะไร ซักจะน่าสนใจแล้ว ใช่ไหมค่ะ
สืบ เนื่องจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดประมาณการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา เรือนกระจก หรือกรีนเฮ้าส์เอฟเฟคท์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ
พิธี สารเกียวโตมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่16 กุมภาพันธ์ 2549 หากประเทศที่ลงนาม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.2% ในปี 2551-2555 จะมีค่าปรับถึงตันละ 2,000-5,000 บาท
สถิติจากWorld Resources 2005 ระบุว่า
สหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
 อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
 อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน

ดังนั้น"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต" จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กำหนดออกมาพิเศษ เพื่อช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ

" คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันดิบในโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานยนต์ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อลด ได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ  เช่น
การปลูกป่าไม้ 2.5 ไร่ จะสามารถเก็บคาร์บอนเครดิตได้ 2 ตัน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนน้ำมัน 1 หน่วยจะได้เครดิตประมาณ 0.6 กิโลกรัม

ตัวอย่าง เช่นประเทศ A อยู่ในยุโรป ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 50 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศ A พยายามลดสุดๆแล้ว ลดได้เพียง 30 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 20 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 3,000 บาทก็ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ประเทศ  ก จึงติดต่อไปที่ ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ข เพื่อช่วยสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เมื่อสร้างเสร็จทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าฟาร์มหมูลดลงเดือนละ 2 ล้านบาท ถือเป็นการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สมมติว่าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 1 ล้านตัน จำนวนที่ลดได้ จะถูกเรียกว่า "คาร์บอนเครดิต" ซึ่งประเทศ A จะได้คาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันไปรวมกับ 30 ล้านตันที่มีอยู่ หรือในอนาคตฟาร์มหมูที่อยู่ใกล้เคียงอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน มาลงทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเอง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ A ก็ได้
ทั้ง นี้หน่วยงานหรือบริษัทที่จะซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องผ่านมาตรฐานตาม "โครงการซีดีเอ็ม" หรือโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism หรือ CDM Project-Carbon Credit)
"คาร์บอนเครดิต" กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษ ที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา "จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน   2551 ที่ผ่านมา หรือที่เรียกย่อว่า อบก.หรือ "TGO" (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
การ เริ่มพัฒนาโครงการและตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลดำเนินงานและให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานด้านก๊าซ เรือนกระจก
แม้ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีข้อดีคือทำให้ประเทศพัฒนาไม่ต้องเจอค่าปรับจาก พิธีสารเกียวโต ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็ได้รับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
แต่ มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าหากประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ลาว เวียดนาม นำคาร์บอนเครดิตมาขายจนหมดสิ้น จะกลายเป็นภาระผูกพันถึงอนาคต หากมีข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้ประเทศด้อยพัฒนาต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกด้วย ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
ศ. ดร.สุรพงศ์  จิระรัตนานนท์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวแนะนำว่า ไทยควรมีการเก็บคาร์บอนเครดิตไว้บ้าง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า อาจต้องถูกบังคับให้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าให้ประเทศอื่นหมดแล้ว ราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดให้จ่ายค่าปรับหลายเท่า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์ในอนาคตเผื่อไว้ด้วย นอกจากนี้ควรมีการลดการใช้พลังงานด้านอื่นพร้อมกัน เนื่องจากภาคธุรกิจไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลืองอย่างมาก
ศ. ดร.สุรพงศ์ยกตัวอย่างตึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกว่า มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เพราะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดทั้งวัน หน่วยงานรัฐควรใช้นโยบายเหมือนเกาหลีใต้ ที่ออกกฎข้อบังคับให้สถานที่ราชการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 26 องศา ส่วนที่มาเลเซียก็พยายามสร้างอาคารแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานจากเดิม 3-5 เท่า โดยการประหยัดพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้อาจนำมาเป็นคาร์บอนเครดิตขายในอนาคตได้
อยากขาย"คาร์บอนเครดิต" ต้องทำอย่างไร
ต้อง เป็นโครงการเกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง แปลงขยะเป็นพลังงาน พัฒนาประสิทธิภาพการคมนาคม ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เรียกกันว่า โครงการซีดีเอ็ม หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism : CDM)
เจ้า ของโครงการประเภทกลไกการพัฒนาที่สะอาดหรือโครงการซีดีเอ็มนั้นก่อนจะตกลง ซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมีการขอใบรับรอง CERs (Certified Emission Reductions) จากสหประชาชาติก่อนทั้งนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์ CERs อาจมีทั้งโรงงานไฟฟ้าเอกชน ฟาร์มหมู โครงการปลูกป่า ซึ่งเป็นตัวเจ้าของโครงการไม่ใช่รัฐบาล นอกจากรัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการเอง
ขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองCERs คือ
1.ยื่นโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
3.ส่งเอกสารให้สหประชาชาติรับรองเพื่อออก CERs
ขณะนี้"บริษัทบริการสิ่งแวดล้อม" (Environmetal Service) กำลังเป็นธุรกิจใหม่ที่ต่างชาติทยอยเปิดในเมืองไทย เพื่อช่วยบริษัทหรือเจ้าของโรงงานที่ต้องการเป็นโครงการซีดีเอ็ม เช่น แนะนำขั้นตอนทำเอกสารขอ "CERs" หรือช่วยเป็นที่ปรึกษาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเช่น ให้คำปรึกษาการออกแบบโครงการ ธุรกิจตรวจประเมินและรับรองโครงการ ธุรกิจตัวกลางซื้อขายกับต่างประเทศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย จัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา

จิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000 และ 14000 อีกหลายธุรกิจบริการในไทย มาสู่การ ตรวจประเมินและรับรองโครงการ (Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน บอกว่า บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 บริษัท
และ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มติอนุมัติการขึ้นทะเบียน 3 โครงการแรกของไทย เพื่อให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตตามข้อตกลงได้ คือ
1.โรงไฟฟ้าด่านช้างไบโอเอนเนอร์ยี่
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ของบริษัท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด
3.โครงการไบโอแมสของโรงไฟฟ้าขอนแก่น
สำหรับ โรงไฟฟ้าขอนแก่นที่นำชานอ้อยมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น มีการประเมินว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี หากนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายจะได้ประมาณ 21 ล้านบาท

โครงการ ตั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล 3 mw. ร่วมกับ ต้นตะกู พันธุ์ก้านแดง 4,000 ไร่ ลดภาวะโลกร้อน
ขายคาร์บอนเครดิต 10 ยูโร/ตัน
" โรงงานเก่าสามารถทำได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่ ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาได้เลยว่า เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ จากรีเทิร์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะมาลดปฏิกิริยา เรือนกระจก"

ล่า สุดมีอีก 45 บริษัทที่เสนอขอเข้าโครงการซีดีเอ็ม เพราะราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว โครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 50 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เช่น การผลิตก๊าซจากน้ำเสีย อันดับ 2 คือด้านเทคโนโลยีชีวมวล (ไบโอแมส) ร้อยละ 25 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โครงการแปลงขยะชุมชนเป็นพลังงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon & Clarke บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Services) ในไทย เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้ กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

"เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอน เครดิต จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง โดยเราจะมีซอฟต์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

โดยเขาระบุว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้ แต่อย่างน้อยก็ สร้างแรงจูงใจให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเขามั่นใจว่าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนก็เกิดความกระตือรืนร้นที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นมา" เขาตั้งประเด็นอย่างน่าสนใจ

"พิธีสารเกียวโต ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย เพราะ ราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี 2551-2555 จะสูงขึ้น จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

ในทัศนะของเขายังเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่าง ไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเฉพาะของคนใดคนหนึ่ง  เพราะขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่มองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วมากมาย   การเยียวยาดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้เพิ่มขึ้น  เพื่อฉลอผลกระทบออกไป  และรักษาโลกเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานเราในอนาคต
การช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นภาระกิจที่ทุกคนควรช่วยกันทำ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก

สมบัติของอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน

จากโครงสร้างของสารประกอบอะโรมาติก จะเห็นว่ามีพันธะคู่อยู่หลายแห่ง แต่จากการศึกษาสมบัติทางเคมีพบว่าพันธะคู่ในอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนเสถียรมาก จึงไม่เกิดปฏิกิริยาที่พันธะคู่ เช่น ไม่ฟอกจางสีของ KMnO4 ไม่เกิดปฏิกิริยาการเติมกับ H2 หรือ Br2 ภายใต้สภาวะเดียวกับแอลคีน ปฏิกิริยาส่วนใหญ่คล้ายแอลเคนคือเกิดปฏิกิริยาแทนที่ (Substitution reaction) ซึ่งพอสรุปได้ว่าอะโรมาติกไซโรคาร์บอนมีโครงสร้างคล้ายแอลคีน แต่เกิดปฏิกิริยาคล้ายแอลเคน จึงแยกออกมาเป็นกลุ่มต่างหาก

สมบัติทางกายภาพ

เป็นของเหลวใสไม่มีสีจนถึงสีเหลืองอ่อน ๆ มีความหนาแน่นน้อยกว่า ไม่ละลายน้ำ มีกลิ่นเฉพาะตัว

สมบัติทางเคมี

1. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนติดไฟให้เขม่าและควันมาก ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำดังสมการ

2 C6H6(l)   +   15 O2(g)      12 CO2(g)   +   6 H2O(g)


2. ปฏิกิริยาแทนที่
1) ปฏิกิริยาแทนที่ด้วยเฮโลเจน (Halogenation) เบนซีนจะทำปฏิกิริยากับ Cl2 หรือ Br2 โดยมีผงเหล็กหรือ FeCl3 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เกิดปฏิกิริยาแทนที่ได้แก๊สไฮโดรเจนเฮไลด์ เช่น



+

Cl2

 


+

HCl
benzene



Chloro benzene

Hydrogen chloride




+

Br2

 


+

HBr
benzene



Bromo benzene

Hydrogen bromide


2) ปฏิกิริยาซัลโฟเนชัน (Sulfonation) ทำปฏิกิริยากับ H2SO4 เข้มข้น



+

HNO3 / H2SO4

 

benzene



Sulfonic acid

3. ปฏิกิริยา Nitration
เบนซีนเกิดปฏิกิริยากับกรดไนตริก HNO3  โดยมีกรดซัลฟิวริก H2SO4 เข้มข้น เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จะได้ไนโตรเบนซีน