วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

คุณธรรมจริยธรรม


ภาพประกอบ
การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรมให้แก่นักศึกษา
สถานการณ์บ้านเมืองของ ประเทศไทยเราในปัจจุบันนี้  ดูน่าเป็นห่วง   อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ   ปัญหาความเสื่อมถอยในด้าน คุณธรรม  จริยธรรมของคน ทั้งในระดับนักการเมือง  ข้าราชการ  หรือ คนในแวดวงอาชีพอื่นๆ  ภาพที่เห็นชัดเจนและเป็นข่าวอยู่ทุกวัน ก็คือ  การทุจริตคอรัปชั่น  การก่ออาชญากรรม   การเสพและการค้ายาเสพติด  ซึ่ง แพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนไทย  ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จนถึง อุดมศึกษา  รวมถึงการแต่งกายล่อแหลม ที่เป็นมูลเหตุก่อให้เกิดอาชญากรรม ทางเพศ ของนักศึกษาหญิง   การขายบริการทางเพศของนักศึกษา   การที่นักศึกษาอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา  การทะเลาะวิวาทของนักศึกษาทั้งภายในสถาบันเดียวกันและต่างสถาบัน  เหล่านี้เป็นต้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่มของเยาวชนดังกล่าว  ทุกคนต่างลงความเห็นตรงกันว่า  เยาวชนไทยของเราขาดการปลูกฝังในด้าน คุณธรรม  จริยธรรม อย่างยั่งยืน  คือ อาจจะมีอยู่บ้างแต่เป็นแบบฉาบฉวย  ไม่เกิดผลที่ถาวรในขณะที่สังคมไทยต้องการเห็นภาพการพัฒนาเยาวชนไทยไปสู่การ เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีความสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ  มีสติ  ปัญญา  มีความรู้และคุณธรรม  มีจริยธรรมและวัฒนธรรม  ในการดำรงชีวิต  สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข    มีรายงานผลการสำรวจของผู้ที่ถูกให้ออกจากงาน เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของตัวพนักงานเอง  พบว่า  17 % ถูกให้ออกงานเพราะ ขาดทักษะความรู้และประสบการณ์     83 %  ถูกออกจากงานเพราะปัญหาเรื่อง ความประพฤติ และบุคลิกภาพ   ในขณะเดียวกันมีผู้ไปสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน ในหน่วยงาน  องค์กร  สถาบันต่างๆ พบว่า   ผู้ประกอบการส่วนมากต้องการบัณทิต ที่มีคุณลักษณะดังนี้      ขยัน       ประหยัด       ซื่อสัตย์       อดทน       เสียสละ   และ มีความรับผิดชอบ    ซึ่งปรากฏการณ์ในสังคม    ดังกล่าวมานี้เป็นผลโดยตรง  มาจากเรื่องของการปลูกฝัง ทางด้านคุณธรรม  จริยธรรม นั่นเอง

จะปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรมให้แก่นักศึกษาได้อย่างไร
จริยธรรม  เป็น  หลักความประพฤติ  หรือ แนวทางในการปฏิบัติตน  ที่ ควรแก่การยึดถือ ปฏิบัติ  เพื่อสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข  โดยมีคุณธรรม และ ศีลธรรมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ     การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรม  จึงเปรียบเสมือนการพัฒนาคุณภาพจิตใจ ที่มีอิทธิพลต่อความประพฤติของคน     คุณธรรม  เป็นสภาวะที่อยากให้เราทำอะไรที่เป็นคุณ    ศีลธรรม  เป็นสภาวะที่เราห้ามจิตใจของเราไม่ให้ทำในสิ่งผิด หรือบอกไม่ให้คนอื่นทำ   ทั้งคุณธรรม และ ศีลธรรม จึงเป็นตัวกำหนดความประพฤติของเรา   ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ควร   คือ  เป็นตัวกำหนดจริยธรรม      จริยธรรมที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลมาจากศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับ   วัฒนธรรม   ประเพณี  และกฎหมาย
ศาสตราจารย์  นพ.เชวง  เตชะโกศยะ ให้ แนวคิดในเรื่องการปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม ให้กับเยาวชน เอาไว้ว่า  คนเราถ้าไม่มีความรู้สึกผูกพันต่อ พ่อ แม่  ต่องานต่อแผ่นดิน  และสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเขา  จะสอนเท่าไดก็คงไม่มีประโยชน์  เพราะเขาจะเกิดความสำนึกในหน้าที่  ในคุณค่าของชีวิต  คุณค่าของความเป็นมนุษย์  ย่อมเป็นไปไม่ได้  เพราะแม้ชีวิตของเขาเอง  เขาก็ไม่รับผิดชอบเสียแล้ว เขาจะไปรับผิดชอบในหน้าที่ของเขาที่ต้องทำความดีและให้ความดีแก่สังคมที่ได้ รับประโยชน์ได้อย่างไร  ดังนั้น คุณธรรม  จริยธรรม  จึงเป็นตัวผล ที่จะต้องสร้างด้วยเหตุ  คือ  ให้ความรู้  ความเข้าใจแก่เขาเป็นอย่างดีนั่นเอง  และมีผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย   การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรม  จำเป็นต้องมีครู 3 สถานะ  เป็นต้นเหตุ  คือ  ครูที่บ้าน  ครูที่โรงเรียน / สถานศึกษา  และครู  ที่เป็นคำสอนในศาสนา    เพราะบุคคล 3  จำพวกนี้  ซึ่งหมายถึง    1. บุพการี      2. ครู   3. พระสงฆ์   เท่านั้น ที่อยากเห็นบุคคลอื่นได้ดี     ถ้าขาดเหตุ หรือ เหตุ ไม่ครบถ้วน   ผลคือ  คุณธรรม และ จริยธรรม  ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้  หรือไม่สมบูรณ์นั่นเอง   เรามักจะเอาผลกลับมาเป็นเหตุ  คือ  เอา จริยธรรม  หรือศีลธรรม  ไปสอนเขาโดยตรง   จริยธรรม  ศีลธรรม และ คุณธรรมอื่นๆ  ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้  หรือ มีขึ้นได้น้อยเต็มที

0
ฯพณฯ พลเอกวิจิตร  กุลวณิชย์  องคมนตรี ได้ แสดงแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเยาวชนในสังคมปัจจุบันเอาไว้ตอนหนึ่งว่า  เป็นเพราะคนไทยไม่รักแผ่นดินเกิด  ท่านขอร้องให้ ครู - อาจารย์  ไปสอนลูกศิษย์ว่า   ตื่นนอนตอนเช้าทุกวัน ให้มองหน้าตนเองในกระจก แล้วตั้งคำถาม   ถามตนเอง  3 ข้อ ( ให้ตอบด้วยความจริงใจ )
1.  ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เราเคยทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ต่อ  แผ่นดินเกิดบ้าง
2.  ถ้ายังไม่เคยทำ   ให้ถามตนเองต่อว่า  แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่   เช่น เมื่อถึงวันเกิด  วันสำคัญต่างๆ  เป็นต้น
3. ถ้าไม่เคยทำและยังไม่คิดจะทำ   ดังข้อ 1  และ ข้อ 2   ให้ถามตน   เองอีกว่า   ช่วงชีวิตที่ผ่านมา  เคยทำอะไรที่เป็นผลเสียหาย ต่อ
แผ่นดินเกิดบ้าง และจะเลิกเมื่อใด

คุณธรรม  จริยธรรม ที่ควรปลูกฝังแก่นักศึกษา
คุณธรรมอันดับแรกที่ ควรปลูกฝัง  คือ   ความกตัญญู  ซึ่งควรจะได้แสดงออกทั้ง ทางกาย   ทางวาจา  และ ทางใจ  เป็นวัฒนธรรมทางจิตใจ    ที่แสดงออกมาด้วยความดีงาม  แต่สิ่งเหล่านี้ กำลังถูกทำลาย ด้วย ความ    รีบเร่ง  จากกระแสวัตถุนิยม และบริโภคนิยม  ที่ไม่ได้คำนึงถึงวัฒนธรรมทางจิตใจ  หากคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจไม่มั่นคง  สิ่งที่แสดงออกมาจากพฤติกรรมของคน ก็ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งสิ้น    การแสดงออกทางกาย   วาจา  ใจ  ที่มีคุณธรรมเป็นที่ตั้งจึงมีส่วนสำคัญในการกล่อมเกลา จิตใจ    ให้มีความอ่อนโยน   สุภาพ นอบน้อม   สุขุม  รอบคอบ   เช่น   การกราบไหว้พระแบบเบญจางคประดิษฐ์  ซึ่งเป็นการกราบที่แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อบุคคลที่ควรเคารพนับถือสูง สุด การวางมือ  การยกมือขึ้น เพื่อให้สติอยู่กับมือ   พนมมือที่น่าอกในท่าอัญชลี   เป็นการสำรวมใจออกจากปัญหา ที่ว้าวุ่น    การยกมือจรดบริเวณหว่างคิ้วในท่าวันทา   เป็นการสำรวมกาย  สำรวมวาจา  สำรวมใจ  กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ  มีความแน่วแน่มั่นคงใน จิตใจ     การก้มกราบ ท่าอภิวาท  เป็นการปล่อยใจให้ว่างลง   สยบยอมทั้งกายและใจให้กับความดี  เป็นการลดอัตตา   ความยึดมั่น  ถือมั่นในตัวเอง  ซึ่งท่าทีเหล่านี้  จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาสภาพจิตใจให้ดีงาม การปลูกฝังให้นักศึกษารู้จัก พึ่งตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นคนดี มีวินัย  คือ  การปลูกฝังให้นักศึกษาได้มีความคิดเห็นที่ถูกต้อง และ  รู้จักคุณค่าของตัวเอง   ไม่มีชนชาติใดในโลกที่มีความเจริญ  งอกงาม  มั่นคงอยู่ได้ เพราะการรอรับการช่วยเหลือ ของผู้อื่น โดยไม่พึ่งตนเอง
ค่าของคน  อยู่ที่ผลของงาน  บนพื้นฐาน อุดมการณ์ชีวิต งาน
คือ ชีวิต   ชีวิต คืองาน บันดาลสุข  ทำงานให้สนุก  เป็นสุข      เมื่อ ทำงาน
ของดีต้องมีแบบ     แบบที่ดี ต้องมีระเบียบ    ระเบียบที่ดี ต้องมีวินัย     คนที่มีวินัย  คือ ...
-          เคารพตนเอง           -          เคารพผู้อื่น
-          เคารพเวลา             -          เคารพกติกา
-          เคารพสถานที่

บุญ  คือ  การละกิเลส
คน  +  ความดี  (คน มี ความดี)    =   สุข , เจริญ
คน  +  บุญ  (คน  มี  บุญ )  =  สุข ,  เจริญ
คน มี ความดี  =  คน มี บุญ   ( สุข , เจริญ )
ความดี   =   บุญ

คุณธรรม  4 ประการ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
1. การรักษาความสัตย์   ความจริงใจต่อตนเอง  ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
2. การรู้จักข่มใจตนเอง   ฝึกใจตนเอง  ให้ประพฤติปฏิบัติ  อยู่ใน    ความสัตย์  ความดี
3. การอดทน   อดกลั้น   อดออม  ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัตย์    สุจริต   ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด
4. การรู้จักละวางความชั่ว   ความทุจริต  และ รู้จักเสียสละประโยชน์   ส่วนน้อยของตน  เพื่อประโยชน์ ส่วนใหญ่ของ บ้านเมือง

คุณธรรม 7 ประการ  ของ พระพรหมคุณาภรณ์  (ประยุทธ์  ปยุตฺโต)  ที่จะทำให้บุคคลมีความเจริญในชีวิต
1.  รู้จักเลือกหาแหล่งความรู้และแบบอย่างที่ดี
2.  มีชีวิตและอยู่ร่วมสังคมเป็นระเบียบด้วยวินัย
3.  พร้อมด้วยแรงจูงใจ   ใฝ่รู้   ใฝ่สร้างสรรค์
4.  มุ่งมั่นพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ
5.  ปรับทัศนคติและค่านิยมให้สมแนวเหตุผล
6.  มีสติกระตือรือร้นตื่นตัวทุกเวลา
7.  แก้ปัญหาและพึ่งพาตนเองได้ ด้วยความรู้คิด

ปณิธาน  10 ข้อ ของ พระพิพิธธรรมสุนทร ที่นำไปสู่ความสำเร็จ
1.  ยึดมั่นกตัญญู                         2.  ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
3.  มีความเพียรสม่ำเสมอ               4.  อย่าเผลอใจใฝ่ต่ำ
5.  เชื่อฟังคำผู้หลักผู้ใหญ่              6.  รักไทยดำรงไทย
7.  ใส่ใจในโลกกว้าง                    8.  ยึดแบบอย่างที่ดี
9.  รู้รักสามัคคีตลอดเวลา              10.  ใช้ศาสนาเป็นเครื่องดำรงชีวิต
คุณธรรม เพื่อความสวัสดีของชีวิต  ของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี)
สิ่งที่เธอควรมี "สติปัญญา "                     สิ่งที่เธอควรแสวงหา "กัลยาณมิตร"
สิ่งที่เธอควรคิด "ความดีงาม"                   สิ่งที่เธอควรพยายาม "การศึกษา"
สิ่งที่เธอควรเข้าหา "นักปราชญ์"               สิ่งที่เธอควรฉลาด "การเข้าสังคม"
สิ่งที่เธอควรนิยม "ความซื่อสัตย์"               สิ่งที่เธอควรตัด "อกุศลมูล"
สิ่งที่เธอควรเพิ่มพูน "บุญกุศล"                  สิ่งที่เธอควรอดทน "การดูหมิ่น"
สิ่งที่เธอควรยิน "พุทธธรรม"                     สิ่งที่เธอควรจดจำ "ผู้มีคุณ"
สิ่งที่เธอควรเทิดทูน "สถาบันกษัตริย์"         สิ่งที่เธอควรขจัด "ความเห็นแก่ตัว"
สิ่งที่เธอควรเลิกเมามัว "การพนัน"              สิ่งที่เธอควรสร้างสรรค์ "สัมมาชีพ"
สิ่งที่เธอควรเร่งรีบ "การแทนคุณบุพการี"      สิ่งที่เธอควรปฏิบัติทันที
"ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"
การปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม ให้แก่เยาวชน  จำเป็นต้องเริ่มแต่เด็ก เพราะอายุก่อน  6 ปี  จะสามารกบันทึกจริยธรรมในช่วงนั้น ได้มากที่สุด   พ่อ  แม่  ญาติพี่น้อง  ผู้ใกล้ชิดของเด็กในวัยนี้ จึงมีบทบาทสำคัญมาก ในการปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม และควรทำอย่างต่อเนื่องผ่านทางกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกหลักสูตร จนกระทั่งเด็กเหล่านี้เข้าสู่ การเรียนในระบบ  ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา  จนถึง ระดับอุดมศึกษา  เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  การปลูกฝังทางด้านคุณธรรม  จริยธรรม  ยังคงต้อง ดำเนินต่อไป  อย่างเป็นธรรมชาติ  เพื่อให้นักศึกษาเป็นทั้ง  คนเก่ง  คนดี และมีความสุข

การวางแผนการปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม  ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
1.การสอนโดยตรงในรายวิชา
2.การปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม โดยบูรณาการไว้ในการเรียน      การสอน
3.การสนับสนุนส่งเสริมงานด้านกิจการนักศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม
4.ผู้สอนต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักศึกษา
5.การให้รางวัลและการยกย่อง  ชมเชย  นักศึกษาที่ทำความดี          กระทำตนเป็นประโยชน์แก่สังคม
แนวทางในการประเมินด้าน คุณธรรม  จริยธรรม  ของนักศึกษา
1. ผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันกำหนด คุณธรรม  จริยธรรม  ที่พึงประสงค์ และควรได้รับการปลูกฝัง  หรือแก้ไขโดยเร่งด่วน  โดยอาจ กำหนดเป็นบทบัญญัติ  เช่น  ความซื่อสัตย์    การตรงต่อเวลา    การเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน  เป็นต้น
2.วางแผนร่วมกับผู้เรียนในการกำหนดเกณฑ์การประเมิน ด้านคุณธรรม  จริยธรรม  ว่าจะพิจารณาจากสิ่งใดบ้างในการประเมิน  (ตัวบ่งชี้)  และ  ให้น้ำหนักความสำคัญอย่างเป็นรูปธรรม
3.กำหนด / เลือก  เครื่องมือและวิธีการ  เพื่อใช้ในการประเมิน คุณธรรม  จริยธรรม  ของผู้เรียน  เช่น
-   การสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน
-   แบบบันทึกผลการสังเกต
-   การประเมินตนเองของผู้เรียน
-   การประเมินโดยเพื่อน
-   การประเมินโดยอาจารย์ผู้สอน
-   แฟ้มสะสมงาน
ฯลฯ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างของการปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม           ให้แก่ นักศึกษา  แต่สิ่งที่ต้องคำนึงอีกประการหนึ่ง  คือ  ความถี่ในการ  ปฏิบัติ   ตามหลักจิตวิทยาของมนุษย์ ต้องมีการเรียนรู้โดยการตอกย้ำหลายครั้ง  อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักศึกษามีมากมาย     การปลูกฝังคุณธรรม  จริยธรรม  ให้แก่นักศึกษาจึงจำเป็นต้องดำเนินการ   ควบคู่กันไปกับการพัฒนาในส่วนอื่นๆ   ครู - อาจารย์  จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมาก   นอกเหนือจาก บิดา  มารดา  ญาติพี่น้องและสภาวะแวดล้อมอื่นๆ ในสังคม ซึ่งในเรื่องนี้ พระพรหมคุณาภรณ์  (ประยุทธ์  ปยุตฺโต)  ได้กล่าว     ถึง บทบาทของ ครู - อาจารย์  ในยุคของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในปัจจุบัน เอาไว้ว่า   ครู - อาจารย์ จะต้องทำหน้าที่เป็นหลักสำคัญ ให้กับ   นักศึกษา  2 อย่าง  คือ
1.  ชี้นำชีวิตที่ดีงามแก่นักศึกษา
2.  ปลุกความเป็นนักศึกษาให้ตื่นขึ้น  ให้เป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
ดังนั้น ครู - อาจารย์ ในสถาบันอุดมศึกษา คงไม่อาจปฏิเสธภาระหน้าที่   สำคัญในด้าน การปลูกฝัง คุณธรรม  จริยธรรม  ให้แก่นักศึกษา นอกเหนือ จากงานด้านการเรียนการสอนเชิงวิชาการ



อ้างอิงจาก  มหาวิทยาลัยศรีประทุม http://blog.spu.ac.th

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

คาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คืออะไร ซักจะน่าสนใจแล้ว ใช่ไหมค่ะ
สืบ เนื่องจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดประมาณการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา เรือนกระจก หรือกรีนเฮ้าส์เอฟเฟคท์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ
พิธี สารเกียวโตมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่16 กุมภาพันธ์ 2549 หากประเทศที่ลงนาม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.2% ในปี 2551-2555 จะมีค่าปรับถึงตันละ 2,000-5,000 บาท
สถิติจากWorld Resources 2005 ระบุว่า
สหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
 อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
 อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน

ดังนั้น"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต" จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กำหนดออกมาพิเศษ เพื่อช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ

" คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันดิบในโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานยนต์ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อลด ได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ  เช่น
การปลูกป่าไม้ 2.5 ไร่ จะสามารถเก็บคาร์บอนเครดิตได้ 2 ตัน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนน้ำมัน 1 หน่วยจะได้เครดิตประมาณ 0.6 กิโลกรัม

ตัวอย่าง เช่นประเทศ A อยู่ในยุโรป ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 50 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศ A พยายามลดสุดๆแล้ว ลดได้เพียง 30 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 20 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 3,000 บาทก็ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ประเทศ  ก จึงติดต่อไปที่ ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ข เพื่อช่วยสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เมื่อสร้างเสร็จทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าฟาร์มหมูลดลงเดือนละ 2 ล้านบาท ถือเป็นการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สมมติว่าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 1 ล้านตัน จำนวนที่ลดได้ จะถูกเรียกว่า "คาร์บอนเครดิต" ซึ่งประเทศ A จะได้คาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันไปรวมกับ 30 ล้านตันที่มีอยู่ หรือในอนาคตฟาร์มหมูที่อยู่ใกล้เคียงอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน มาลงทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเอง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ A ก็ได้
ทั้ง นี้หน่วยงานหรือบริษัทที่จะซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องผ่านมาตรฐานตาม "โครงการซีดีเอ็ม" หรือโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism หรือ CDM Project-Carbon Credit)
"คาร์บอนเครดิต" กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษ ที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา "จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน   2551 ที่ผ่านมา หรือที่เรียกย่อว่า อบก.หรือ "TGO" (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
การ เริ่มพัฒนาโครงการและตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลดำเนินงานและให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานด้านก๊าซ เรือนกระจก
แม้ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีข้อดีคือทำให้ประเทศพัฒนาไม่ต้องเจอค่าปรับจาก พิธีสารเกียวโต ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็ได้รับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
แต่ มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าหากประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ลาว เวียดนาม นำคาร์บอนเครดิตมาขายจนหมดสิ้น จะกลายเป็นภาระผูกพันถึงอนาคต หากมีข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้ประเทศด้อยพัฒนาต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกด้วย ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
ศ. ดร.สุรพงศ์  จิระรัตนานนท์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวแนะนำว่า ไทยควรมีการเก็บคาร์บอนเครดิตไว้บ้าง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า อาจต้องถูกบังคับให้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าให้ประเทศอื่นหมดแล้ว ราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดให้จ่ายค่าปรับหลายเท่า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์ในอนาคตเผื่อไว้ด้วย นอกจากนี้ควรมีการลดการใช้พลังงานด้านอื่นพร้อมกัน เนื่องจากภาคธุรกิจไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลืองอย่างมาก
ศ. ดร.สุรพงศ์ยกตัวอย่างตึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกว่า มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เพราะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดทั้งวัน หน่วยงานรัฐควรใช้นโยบายเหมือนเกาหลีใต้ ที่ออกกฎข้อบังคับให้สถานที่ราชการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 26 องศา ส่วนที่มาเลเซียก็พยายามสร้างอาคารแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานจากเดิม 3-5 เท่า โดยการประหยัดพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้อาจนำมาเป็นคาร์บอนเครดิตขายในอนาคตได้
อยากขาย"คาร์บอนเครดิต" ต้องทำอย่างไร
ต้อง เป็นโครงการเกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง แปลงขยะเป็นพลังงาน พัฒนาประสิทธิภาพการคมนาคม ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เรียกกันว่า โครงการซีดีเอ็ม หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism : CDM)
เจ้า ของโครงการประเภทกลไกการพัฒนาที่สะอาดหรือโครงการซีดีเอ็มนั้นก่อนจะตกลง ซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมีการขอใบรับรอง CERs (Certified Emission Reductions) จากสหประชาชาติก่อนทั้งนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์ CERs อาจมีทั้งโรงงานไฟฟ้าเอกชน ฟาร์มหมู โครงการปลูกป่า ซึ่งเป็นตัวเจ้าของโครงการไม่ใช่รัฐบาล นอกจากรัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการเอง
ขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองCERs คือ
1.ยื่นโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
3.ส่งเอกสารให้สหประชาชาติรับรองเพื่อออก CERs
ขณะนี้"บริษัทบริการสิ่งแวดล้อม" (Environmetal Service) กำลังเป็นธุรกิจใหม่ที่ต่างชาติทยอยเปิดในเมืองไทย เพื่อช่วยบริษัทหรือเจ้าของโรงงานที่ต้องการเป็นโครงการซีดีเอ็ม เช่น แนะนำขั้นตอนทำเอกสารขอ "CERs" หรือช่วยเป็นที่ปรึกษาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเช่น ให้คำปรึกษาการออกแบบโครงการ ธุรกิจตรวจประเมินและรับรองโครงการ ธุรกิจตัวกลางซื้อขายกับต่างประเทศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย จัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา

จิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000 และ 14000 อีกหลายธุรกิจบริการในไทย มาสู่การ ตรวจประเมินและรับรองโครงการ (Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน บอกว่า บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 บริษัท
และ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มติอนุมัติการขึ้นทะเบียน 3 โครงการแรกของไทย เพื่อให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตตามข้อตกลงได้ คือ
1.โรงไฟฟ้าด่านช้างไบโอเอนเนอร์ยี่
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ของบริษัท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด
3.โครงการไบโอแมสของโรงไฟฟ้าขอนแก่น
สำหรับ โรงไฟฟ้าขอนแก่นที่นำชานอ้อยมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น มีการประเมินว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี หากนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายจะได้ประมาณ 21 ล้านบาท

โครงการ ตั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล 3 mw. ร่วมกับ ต้นตะกู พันธุ์ก้านแดง 4,000 ไร่ ลดภาวะโลกร้อน
ขายคาร์บอนเครดิต 10 ยูโร/ตัน
" โรงงานเก่าสามารถทำได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่ ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาได้เลยว่า เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ จากรีเทิร์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะมาลดปฏิกิริยา เรือนกระจก"

ล่า สุดมีอีก 45 บริษัทที่เสนอขอเข้าโครงการซีดีเอ็ม เพราะราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว โครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 50 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เช่น การผลิตก๊าซจากน้ำเสีย อันดับ 2 คือด้านเทคโนโลยีชีวมวล (ไบโอแมส) ร้อยละ 25 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โครงการแปลงขยะชุมชนเป็นพลังงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon & Clarke บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Services) ในไทย เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้ กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

"เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอน เครดิต จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง โดยเราจะมีซอฟต์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

โดยเขาระบุว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้ แต่อย่างน้อยก็ สร้างแรงจูงใจให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเขามั่นใจว่าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนก็เกิดความกระตือรืนร้นที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นมา" เขาตั้งประเด็นอย่างน่าสนใจ

"พิธีสารเกียวโต ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย เพราะ ราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี 2551-2555 จะสูงขึ้น จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

ในทัศนะของเขายังเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่าง ไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเฉพาะของคนใดคนหนึ่ง  เพราะขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่มองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วมากมาย   การเยียวยาดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้เพิ่มขึ้น  เพื่อฉลอผลกระทบออกไป  และรักษาโลกเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานเราในอนาคต
การช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นภาระกิจที่ทุกคนควรช่วยกันทำ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก

คาร์บอนเครดิต

คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คืออะไร ซักจะน่าสนใจแล้ว ใช่ไหมค่ะ
สืบ เนื่องจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดประมาณการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา เรือนกระจก หรือกรีนเฮ้าส์เอฟเฟคท์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ
พิธี สารเกียวโตมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่16 กุมภาพันธ์ 2549 หากประเทศที่ลงนาม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.2% ในปี 2551-2555 จะมีค่าปรับถึงตันละ 2,000-5,000 บาท
สถิติจากWorld Resources 2005 ระบุว่า
สหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
 อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
 อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน

ดังนั้น"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต" จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กำหนดออกมาพิเศษ เพื่อช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ

" คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันดิบในโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานยนต์ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อลด ได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ  เช่น
การปลูกป่าไม้ 2.5 ไร่ จะสามารถเก็บคาร์บอนเครดิตได้ 2 ตัน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนน้ำมัน 1 หน่วยจะได้เครดิตประมาณ 0.6 กิโลกรัม

ตัวอย่าง เช่นประเทศ A อยู่ในยุโรป ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 50 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศ A พยายามลดสุดๆแล้ว ลดได้เพียง 30 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 20 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 3,000 บาทก็ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ประเทศ  ก จึงติดต่อไปที่ ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ข เพื่อช่วยสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เมื่อสร้างเสร็จทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าฟาร์มหมูลดลงเดือนละ 2 ล้านบาท ถือเป็นการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สมมติว่าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 1 ล้านตัน จำนวนที่ลดได้ จะถูกเรียกว่า "คาร์บอนเครดิต" ซึ่งประเทศ A จะได้คาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันไปรวมกับ 30 ล้านตันที่มีอยู่ หรือในอนาคตฟาร์มหมูที่อยู่ใกล้เคียงอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน มาลงทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเอง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ A ก็ได้
ทั้ง นี้หน่วยงานหรือบริษัทที่จะซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องผ่านมาตรฐานตาม "โครงการซีดีเอ็ม" หรือโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism หรือ CDM Project-Carbon Credit)
"คาร์บอนเครดิต" กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษ ที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา "จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน   2551 ที่ผ่านมา หรือที่เรียกย่อว่า อบก.หรือ "TGO" (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
การ เริ่มพัฒนาโครงการและตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลดำเนินงานและให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานด้านก๊าซ เรือนกระจก
แม้ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีข้อดีคือทำให้ประเทศพัฒนาไม่ต้องเจอค่าปรับจาก พิธีสารเกียวโต ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็ได้รับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
แต่ มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าหากประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ลาว เวียดนาม นำคาร์บอนเครดิตมาขายจนหมดสิ้น จะกลายเป็นภาระผูกพันถึงอนาคต หากมีข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้ประเทศด้อยพัฒนาต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกด้วย ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
ศ. ดร.สุรพงศ์  จิระรัตนานนท์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวแนะนำว่า ไทยควรมีการเก็บคาร์บอนเครดิตไว้บ้าง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า อาจต้องถูกบังคับให้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าให้ประเทศอื่นหมดแล้ว ราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดให้จ่ายค่าปรับหลายเท่า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์ในอนาคตเผื่อไว้ด้วย นอกจากนี้ควรมีการลดการใช้พลังงานด้านอื่นพร้อมกัน เนื่องจากภาคธุรกิจไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลืองอย่างมาก
ศ. ดร.สุรพงศ์ยกตัวอย่างตึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกว่า มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เพราะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดทั้งวัน หน่วยงานรัฐควรใช้นโยบายเหมือนเกาหลีใต้ ที่ออกกฎข้อบังคับให้สถานที่ราชการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 26 องศา ส่วนที่มาเลเซียก็พยายามสร้างอาคารแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานจากเดิม 3-5 เท่า โดยการประหยัดพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้อาจนำมาเป็นคาร์บอนเครดิตขายในอนาคตได้
อยากขาย"คาร์บอนเครดิต" ต้องทำอย่างไร
ต้อง เป็นโครงการเกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง แปลงขยะเป็นพลังงาน พัฒนาประสิทธิภาพการคมนาคม ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เรียกกันว่า โครงการซีดีเอ็ม หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism : CDM)
เจ้า ของโครงการประเภทกลไกการพัฒนาที่สะอาดหรือโครงการซีดีเอ็มนั้นก่อนจะตกลง ซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมีการขอใบรับรอง CERs (Certified Emission Reductions) จากสหประชาชาติก่อนทั้งนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์ CERs อาจมีทั้งโรงงานไฟฟ้าเอกชน ฟาร์มหมู โครงการปลูกป่า ซึ่งเป็นตัวเจ้าของโครงการไม่ใช่รัฐบาล นอกจากรัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการเอง
ขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองCERs คือ
1.ยื่นโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
3.ส่งเอกสารให้สหประชาชาติรับรองเพื่อออก CERs
ขณะนี้"บริษัทบริการสิ่งแวดล้อม" (Environmetal Service) กำลังเป็นธุรกิจใหม่ที่ต่างชาติทยอยเปิดในเมืองไทย เพื่อช่วยบริษัทหรือเจ้าของโรงงานที่ต้องการเป็นโครงการซีดีเอ็ม เช่น แนะนำขั้นตอนทำเอกสารขอ "CERs" หรือช่วยเป็นที่ปรึกษาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเช่น ให้คำปรึกษาการออกแบบโครงการ ธุรกิจตรวจประเมินและรับรองโครงการ ธุรกิจตัวกลางซื้อขายกับต่างประเทศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย จัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา

จิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000 และ 14000 อีกหลายธุรกิจบริการในไทย มาสู่การ ตรวจประเมินและรับรองโครงการ (Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน บอกว่า บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 บริษัท
และ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มติอนุมัติการขึ้นทะเบียน 3 โครงการแรกของไทย เพื่อให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตตามข้อตกลงได้ คือ
1.โรงไฟฟ้าด่านช้างไบโอเอนเนอร์ยี่
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ของบริษัท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด
3.โครงการไบโอแมสของโรงไฟฟ้าขอนแก่น
สำหรับ โรงไฟฟ้าขอนแก่นที่นำชานอ้อยมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น มีการประเมินว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี หากนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายจะได้ประมาณ 21 ล้านบาท

โครงการ ตั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล 3 mw. ร่วมกับ ต้นตะกู พันธุ์ก้านแดง 4,000 ไร่ ลดภาวะโลกร้อน
ขายคาร์บอนเครดิต 10 ยูโร/ตัน
" โรงงานเก่าสามารถทำได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่ ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาได้เลยว่า เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ จากรีเทิร์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะมาลดปฏิกิริยา เรือนกระจก"

ล่า สุดมีอีก 45 บริษัทที่เสนอขอเข้าโครงการซีดีเอ็ม เพราะราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว โครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 50 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เช่น การผลิตก๊าซจากน้ำเสีย อันดับ 2 คือด้านเทคโนโลยีชีวมวล (ไบโอแมส) ร้อยละ 25 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โครงการแปลงขยะชุมชนเป็นพลังงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon & Clarke บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Services) ในไทย เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้ กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

"เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอน เครดิต จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง โดยเราจะมีซอฟต์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

โดยเขาระบุว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้ แต่อย่างน้อยก็ สร้างแรงจูงใจให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเขามั่นใจว่าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนก็เกิดความกระตือรืนร้นที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นมา" เขาตั้งประเด็นอย่างน่าสนใจ

"พิธีสารเกียวโต ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย เพราะ ราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี 2551-2555 จะสูงขึ้น จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

ในทัศนะของเขายังเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่าง ไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเฉพาะของคนใดคนหนึ่ง  เพราะขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่มองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วมากมาย   การเยียวยาดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้เพิ่มขึ้น  เพื่อฉลอผลกระทบออกไป  และรักษาโลกเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานเราในอนาคต
การช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นภาระกิจที่ทุกคนควรช่วยกันทำ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก

สมบัติของอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน

จากโครงสร้างของสารประกอบอะโรมาติก จะเห็นว่ามีพันธะคู่อยู่หลายแห่ง แต่จากการศึกษาสมบัติทางเคมีพบว่าพันธะคู่ในอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนเสถียรมาก จึงไม่เกิดปฏิกิริยาที่พันธะคู่ เช่น ไม่ฟอกจางสีของ KMnO4 ไม่เกิดปฏิกิริยาการเติมกับ H2 หรือ Br2 ภายใต้สภาวะเดียวกับแอลคีน ปฏิกิริยาส่วนใหญ่คล้ายแอลเคนคือเกิดปฏิกิริยาแทนที่ (Substitution reaction) ซึ่งพอสรุปได้ว่าอะโรมาติกไซโรคาร์บอนมีโครงสร้างคล้ายแอลคีน แต่เกิดปฏิกิริยาคล้ายแอลเคน จึงแยกออกมาเป็นกลุ่มต่างหาก

สมบัติทางกายภาพ

เป็นของเหลวใสไม่มีสีจนถึงสีเหลืองอ่อน ๆ มีความหนาแน่นน้อยกว่า ไม่ละลายน้ำ มีกลิ่นเฉพาะตัว

สมบัติทางเคมี

1. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนติดไฟให้เขม่าและควันมาก ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำดังสมการ

2 C6H6(l)   +   15 O2(g)      12 CO2(g)   +   6 H2O(g)


2. ปฏิกิริยาแทนที่
1) ปฏิกิริยาแทนที่ด้วยเฮโลเจน (Halogenation) เบนซีนจะทำปฏิกิริยากับ Cl2 หรือ Br2 โดยมีผงเหล็กหรือ FeCl3 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เกิดปฏิกิริยาแทนที่ได้แก๊สไฮโดรเจนเฮไลด์ เช่น



+

Cl2

 


+

HCl
benzene



Chloro benzene

Hydrogen chloride




+

Br2

 


+

HBr
benzene



Bromo benzene

Hydrogen bromide


2) ปฏิกิริยาซัลโฟเนชัน (Sulfonation) ทำปฏิกิริยากับ H2SO4 เข้มข้น



+

HNO3 / H2SO4

 

benzene



Sulfonic acid

3. ปฏิกิริยา Nitration
เบนซีนเกิดปฏิกิริยากับกรดไนตริก HNO3  โดยมีกรดซัลฟิวริก H2SO4 เข้มข้น เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จะได้ไนโตรเบนซีน

สรุปใจความสำคัญ

สรุปใจความสำคัญ
1. เอมีนเป็นสารอินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นเบสและสามารถจำแนกได้เป็นเอมีนปฐมภูมิ (มีสูตรทั่วไปคือR-NH2) ทุติยภูมิ (มีสูตรทั่วไปคือR2N-H)และ ตติยภูมิ (มีสูตรทั่วไปคือR3N)
2. การเรียกชื่อเอมีน

 2.1 ตามระบบ IUPAC    เป็นคำขึ้นต้นว่า amino- และลงท้ายคำว่า - amine เช่น
 CH3
CH2CH2CH2NH2
เรียกว่า butanamine
 HO-CH2CH2CH2-NH2 เรียกว่า 3-aminopropanol
 2.2 เอมีนส่วนมากเรียกตามชื่อสามัญ เช่น dimethylamine(CH3NHCH3)และ aniline (C6H5NH2)
3. สภาพเบสของเอมีน

  3.1 การเรโซแนนซ์ของอิเลคตรอนบน N-atom เข้าไปในวงแหวนเบนซีนทำให้ aromatic amines มีสภาพเบสอ่อนกว่า aliphatic amines เช่น
 aniline (C6H5NH2) มีสภาพเบสอ่อนกว่า
butanamine (CH3CH2CH2CH2NH2 )
  3.2 ผลเหนี่ยวนำ(inductive effect) และ ผลซเทอร์ริก(steric effect) ทำให้สภาพเบสของเอมีนในน้ำ มีลำดับดังนี้คือ เอมีนทุติยภูมิเป็นเบสแก่กว่าปฐมภูมิ และ ตติยภูมิตามลำดับ

4. ปฏิกิริยาของ เอมีน
  4.1 การเกิดเกลือของ เอมีน เมื่อ เอมีนทำปฏิกิริยากับกรด เช่น

  R-NH2 + HCl  RNH3+Cl- 

   CH3CH2CH2CH2NH2 HCl  CH3CH2CH2CH2NH3+Cl- 

   CH3CH2CH2CH2NH2 H2SO4  (CH3CH2CH2CH2NH3+)2 SO42- 

  4.2 ปฏิกิริยาอัลคิเลชันของเอมีนกับอัลคิลเฮไลด์ เช่น

  R3N + R-X  R4N+X-

   (CH3CH2)3N CH3CH2Cl   (CH3CH2)4N+Cl- 


  4.3 ปฏิกิริยาของแอซิดคลอไรด์กับเอมีน ให้เอไมด์ เช่น

  RCOCl + R-NH2RCONHR  + HCl

  CH3COCl   +  CH3CH2CH2CH2NH2CH3CONHCH2CH2CH2CH3


  4.4 ปฏิกิริยาการทดสอบฮินซ์เบอร์กของเอมีน เช่น

การทดสอบฮินซ์เบอร์กของเอมีนปฐมภูมิ (primary amines)
  C6H5SO2Cl + R-NH2 (primary amine)C6H5SO2NHR (sulfonamide) + HCl
  C6H5SO2NHR + NaOH [C6H5SO2N-R]Na+  + H2O

การทดสอบฮินซ์เบอร์กของเอมีนทุติยภูมิ
(secondary amines)
  C6H5SO2Cl + R2NH
(secondary amine)  C6H5SO2NR2 (sulfonamide) + HCl 
  C6H5SO2NR2  + NaOH(No reaction)

การทดสอบฮินซ์เบอร์กของเอมีนตติยภูมิ (tertiary amines)
  C6H5SO2Cl + R3N
(tertiary amine) (No reaction)
ตัวอย่างการทดสอบฮินซ์เบอร์ก
  C6H5SO2Cl + CH3CH2CH2NH2C6H5SO2NHCH2CH2CH3HCl

  C6H5SO2NHCH2CH2CH3 + NaOH [C6H5SO2N-CH2CH2CH3]Na+  + H2O

  C6H5SO2Cl + (CH3)2NH  C6H5SO2N(CH3)2 + HCl 

  C6H5SO2N(CH3)2   + NaOH(No reaction)

  C6H5SO2Cl + (CH3)3N
 (No reaction)

  4.5 ปฏิกิริยาของเอมีนปฐมภูมิกับกรดไนตรัส (HNO2) เตรียมกรดไนตรัสได้จาก HCl และ NaNO2

  RNH2 (aliphatic amines) + HNO2 อัลกอฮอล์ อัลคีน และก๊าซไนโตรเจน
เช่น
 
 CH3CH2CH2NH2 + HNO2CH3CH2CH2OH  + CH3CH=CH2 N2

  C6H5NH2 (aromatic amines)+ HNO2 ที่อุณหภูมิ0-5 oC C6H5N2+   (diazonium salt)
C6H5N2+   (diazonium salt) ใช้เตรียมสารอื่นๆ    เช่น  
  ปฏิกิริยา diazonium salt กับน้ำ ;   C6H5N2+   +  H2O (heat) C6H5OH N2
  ปฏิกิริยา diazonium salt กับ CuBr ;   C6H5N2+   +  CuBr C6H5Br N2
  ปฏิกิริยา diazonium salt กับ CuCl ;   C6H5N2+   +  CuCl C6H5Cl N2
  ปฏิกิริยา diazonium salt กับ H3PO2 ;   C6H5N2+   +  H3PO2 C6H6 N2

  Azo coupling ;   C6H5N2+   +  C6H5OHC6H5N=NC6H4OH


  4.6 ปฏิกิริยา Hofmann elimination เป็นปฎิกิริยาของ quaternary ammonium hydroxide เปลี่ยนเป็น อัลคีน
 R4N+X-  +   Ag2O R4N+OH-  +   AgX
 R4N+OH-
(quaternary ammonium hydroxide) heat amines  +   alkene  +   H2O
 (CH3)3N+CH2CH2CH3  ,Br- +   Ag2O (CH3)3N+CH2CH2
CH3
,OH- +   AgBr
  (CH3)3N+CH2CH2CH3 ,OH- heat (CH3)3N  +  CH2=CHCH3 +   H2O